นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงในการอภิปรายพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ ห้องประชุมสภา ผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2กรณีที่นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นห่วงราคาผลผลิตทางเกษตรตกต่ำและการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศทำให้กระทบต่อราคาพืชเกษตรในประเทศนั้น ขอชี้แจงว่าในช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ในภาพรวมของราคาพืชชผลทางการเกษตร ดีเกือบทุกตัว โดยเฉพาะตัวสำคัญเช่น 1.ยางพารา 3 กิโลกรัม 100 บาท ซึ่งวันนี้ยางแผ่นดิบชั้น 3 กิโลกรัมละ 60 กว่าบาทยางก้อนถ้วย กิโลกรัมละ 20 กว่าบาทจาก 16-17 บาท โดยเฉพาะภาคอีสาน 23-24 บาท ปาล์มน้ำมันจากกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า ตอนนี้กิโลกรัมละ 5-6 บาท บางช่วง 7 บาท เป็นการสะท้อนราคาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศ มันสำปะหลังจากกิโลกรัมละ 1 บาทกว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ที่เชื้อแป้งตามมาตรฐานกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า ล่าสุดจังหวัดนครราชสีมา 2.20-2.40 บาท ข้าวโพด 8 บาทกว่า ข้าวปีที่แล้วแตะกิโลกรัมละ 10,000 บาท ปีนี้ราคาอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 7,000-9,000 บาท
สำหรับพืชเกษตรตัวอื่นแม้ว่าจะไม่มีนโยบายประกันรายได้แต่กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรฯ จับมือกันในการดำเนินการภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่จะกำหนดมาตรการเชิงรุกเช่น ผลไม้ มีการประชุมระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ภาคราชการและกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งล้งผู้ส่งออกล่วงหน้า กำหนดมาตรการชัดเจนเฉพาะปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 กำหนดมาตรการเชิงรุกเสร็จสิ้น 16 มาตรการตั้งแต่ต้นปีผลทั้งหมดก่อให้เกิดปรากฏผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมราคาผลไม้ในภาพรวมถือว่าดีมากและดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ทุเรียนปีนี้ราคาเฉลี่ยหน้าสวนกิโลกรัมละ 100-130 บาท มังคุด ภาคตะวันออกกิโลกรัมละ 150 บาท กลางฤดูถึง 230 บาท
และการส่งออกเราดำเนินการได้ดีมากตัวเลขปีที่แล้วเราส่งออกผลไม้ไปยังต่างประเทศได้เงินเข้าประเทศ 130,000 ล้านบาท ปีนี้เฉพาะ 4 เดือนมกราคม-เมษายนเงินเข้าประเทศแล้ว 50,000 ล้านบาท เฉพาะการส่งออกผลไม้ตัวเดียวตั้งเป้าหมายว่าปีนี้เงินเข้าประเทศจากผลไม้ไม่น่าจะต่ำกว่า 1.4 ล้านล้านบาท คือเป้าหมายและมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ภาคเอกชนกระทรวงอื่นและเกษตรกรที่จับมือร่วมกันกำหนดมาตรการเชิงรุก
ส่วนกรณีการลักลอบนำเข้าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาและบางกรณีมีการติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดและได้นำเรื่องการลักลอบนำเข้าพืชผลการเกษตรจากประเทศใกล้เคียงเข้ามาพูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญเพราะไม่ต้องการให้การนำเข้าพืชเกษตรเพื่อนบ้างมีผลกระทบกับราคาพืชการเกษตรของเกษตรกรไทย
สิ่งที่กำหนดเป็นมาตรการมีความชัดเจนถาวรเช่น ปาล์มน้ำมันกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการห้ามนำเข้าปาล์มน้ำมันทางบกเพราะที่ผ่านมาปัญหาใหญ่คือมีการลักลอบนำเข้าปาล์มทางบกเป็นน้ำมันปาล์มมาทำหกระหว่างทางทำให้ปริมาณน้ำมันปาล์มหกในประเทศบวกกับน้ำมันปาล์มในประเทศเลยล้นตลาดทำให้ราคาปาล์มตกต่ำ ซึ่งจะนำเข้าได้ต้องทางเรือและออกได้เฉพาะด่านที่กำหนดเป็นมาตรการที่เรากำหนดไว้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ส่วนการจัดซื้อมิเตอร์ปาล์มเพื่อเช็คสต๊อกไม่ให้อ้างว่าสต๊อกล้นแล้วกดราคาเกษตรกรดำเนินการตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ติดขัดประเด็นปัญหาคือถูกเรียกงบประมาณคืนจะโทษรัฐบาลไม่ได้เพราะเกิดวิกฤติโควิดรอบแรกต้องตัดงบประมาณทุกกระทรวงในการเอาไปกองรวมแก้ปัญหาโควิด แต่ช่วงหลังได้คืนงบมาแล้วแต่เรื่องการทำ e-auction เกิดประเด็นปัญหาที่กรมบัญชีการท้วงติงว่าจะใช้เกณฑ์คุณภาพบวกราคาไม่ได้ให้ใช้เกณฑ์ราคาอย่างเดียวตัดเรื่องคุณภาพออก ซึ่งกรมบัญชีกลางต้องรับผิดชอบในเรื่องของการกำหนด e-auction ต้องประมูลใหม่ ซึ่งประมูลแล้วอยู่ในขั้นตอนกระบวนการดำเนินการ มีการอุทธรณ์ตามขั้นตอนกระบวนการตนไม่เข้าไปแทรกแซงต้องการให้ทุกอย่างโปร่งใสและได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้คาดว่าเมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นจะมีมิเตอร์ปาล์มมาช่วยเสริมอีกแรงหนึ่งนอกจากประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันปาล์มทางบก
ส่วนกรณีเกลือ กระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับกรมศุลกากรและภาคเอกชนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการดำเนินการที่จะออกประกาศฉบับหนึ่งผ่าน ครม.แล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนกฤษฎีกาบอกว่าวันที่ 9 มิถุนายนนี้น่าจะเสร็จสิ้นหลังจากนั้นจะลงนามได้เนื้อหาของประกาศฉบับนี้คือ เกลือที่มี 2 อย่าง เกลือบริโภคกับเกลืออุตสาหกรรม ถ้านำเข้าปัจจุบันเรามีพิกัดเดียวจึงมีความพยายามจะนำเกลือบริโภคไปในใช้อุตสาหกรรมเพราะราคา 1.มาตรการนำเข้ามีความแตกต่างกันต่อไปที่จะแยกเป็น 2 พิกัด ทั้งพิกัดบริโภคและพิกัดอุตสาหกรรม
2.นำเข้าต่อไปนี้ต้องขึ้นทะเบียน 3.ต้องมีใบ CO ที่เป็นใบแจ้งแหล่งกำเนิดสินค้าว่านำเกลือมาจากที่ไหนอย่างไร และ4.จะกระจายหรือเกลืออย่างไรเพื่อกำกับดูแลใกล้ชิดไม่นำมาตีตลาดในประเทศทั้งราคาปริมาณและการแจ้งพิกัด เกษตรกรผู้ทำนาเกลือพอใจมากและรอคอยมานานแล้วจนผมได้ประชุมที่กระทรวงและนับหนึ่งให้ ในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังจะสำเร็จแล้ว วันที่ 9 มิถุนายนถ้ามาตามนั้นจะรีบลงนามให้เร็วที่สุด
“การส่งออกถือว่าเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวไทยยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้แม้ไทยเที่ยวไทยก็ยังเป็นปัญหาอุปสรรคเพราะวิกฤติโควิดที่ระบาดอยู่ปัจจุบัน จะรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาต้องรอการฉีดวัคซีนซึ่งเราจะนับหนึ่งวันที่ 1 กรกฎาคม ถ้าฉีดวัคซินได้ตามกำหนดทุกอย่างจะเริ่มได้ ดังนั้นการส่งออกจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตอย่างน้อย 2-3% มีข่าวดีว่าส่งออกกระเตื้องขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ต้นปีมกราคม เดือนมีนาคม +8.47% เมษายน 13.09%”