“เมืองการบินอู่ตะเภา” เปิดปี 67 “นายกฯ” เร่งเดินเครื่อง

19 มิ.ย. 2563 | 04:28 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มิ.ย. 2563 | 07:21 น.

บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ลงนามสัญญา ร่วมลงทุน พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา กางแผนลงทุน 4 เฟส มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ปั้นเมืองการบินอีอีซี คาดเปิด 2567

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) และ บริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด

ทั้งนี้ บริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด เป็นนิติบุคคลตั้งขึ้นเฉพาะกิจโดยกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ผู้ยื่นข้อเสนอเงินประกันขั้นต่ำเป็นผลตอบแทนให้แก่รัฐดีที่สุด เพื่อร่วมกันลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ อีอีชี มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินคู่ตะเภาเป็น "สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3" เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี

นอกจากนี้โครงการฯ จะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็น "ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation" รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ "มหานครการบินภาคตะวันออก" ที่จะครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 ก.ม. โดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง)ซึ่งเป็นการสานต่อเจตนารมณ์การพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ตที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทยโดยเข้าเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออก ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้สะดวกทั้งทางน้ำ ทางบกและทางอากาศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจ

นายคณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนโดยใช้เงินลงทุนประมาณ 290,00 ล้านบาท แต่เป็นโครงการที่รัฐได้ผลประโยชน์ด้านการเงิน 305,555 ล้านบาทได้ภาษีอากรกว่า 62,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่ม 15.600 ตำแหน่งต่อปีในระยะ 5ปีแรก เกิดการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านธุรกิจการบินและธุรกิจเชื่อมโยงเพิ่มเทคโนโลยีองค์ความรู้ด้านธุรกิจการบิน โดยทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา

"เมื่อผสานโครงการพัฒนาสนามบินคู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก จะก่อให้เกิดการลงทุนในมิติต่างๆทั้งจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศมาสู่พื้นที่อีอีซี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยและคนไทยทุกคน" นายคณิศ กล่าว

พื้นที่ของโครงการตั้งอยู่ในเขตส่งเสริมเมืองการบินตะวันออก อำกอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อยู่ใกล้พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยองในระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 20 นาที โครงการนี้ มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้สามารถรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า มีองค์ประกอบหลัก

ได้แก่ ทางวิ่งมาตรฐาน 2 ทางวิ่ง มีความยาว 3,500 เมตร ซึ่งสามารถให้อากาศยานขึ้นลงทั้ง 2 ทางวิ่งอย่างอิสระต่อกันสามารถรองรับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทุกขนาด โดยมีหลุมจอดอากาศยานรวมทั้งสิ้น 124 หลุมจอด ในส่วนของอาคารผู้โดยสาร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จทุกระยะแล้ว จะมีขนาดพื้นที่กว่า 450,00 ตารางเมตร สามารถองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 60 ล้านคนต่อปี ภายในอาคารมีการติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทันสมัย เช่น ระบบการ Check-in อัตโนมัติ (Smart Airport) ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ(Automate People Mover, APM)

นอกจากนี้จะมีการก่อสร้าง Air Traffic Control Tower หรืออาคารหอบังคับการบิน โดย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สามารถให้บริการการขึ้นลงของอากาศยานได้สูงสุด 70 เที่ยวบินต่อชั่วโมงในส่วนขององค์ประกอบหลักอื่นๆได้แก่ คลังสินค้า, Cargo Village และ Free Trade Zone มีขนาดพื้นที่กว่า 470,00 ตารางเมตร ประมาณการขีดความสามารถรองรับการขนส่งสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ากว่า 3 ล้านตันต่อปี ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน (Ground Transportation Center, GTC) มีขนาดพื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตร เพื่อให้การเดินทางในรูปแบบต่างๆ

เช่น รถไฟความเร็วสูง รถบัส แท็กซี่ สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ได้อย่างรวดเร็วและไร้รอยต่อพื้นที่กิจกรรมด้านอุตสาหกรรมการบินที่เกี่ยวข้องรวมทั้งงานสนับสนุนอื่นๆ บนพื้นที่ ขนาด1,400 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศ โรงผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น โรงผลิตน้ำประปาและบำบัดน้ำเสีย และบริการเติมเชื้อเพลิงอากาศยาน

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง 

"อีอีซี" เซ็นสัญญาร่วมลงทุน “เมืองการบินอู่ตะเภา” วันนี้

ครม.ไฟเขียว “บีบีเอส”คว้า "อู่ตะเภา" เซ็นสัญญา19มิ.ย.นี้

คิกออฟลงทุน 4 เฟส "สนามบินอู่ตะเภา" รับธุรกิจการบินฟื้น

นอกจากองค์ประกอบหลักดังกล่าวแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์และส่งเสริมการเป็น Aviation Hub ของโครงการฯ คือ Commercial Gateway ขนาดพื้นที่กว่า 400,00 ตารางเมตร จัดเป็นพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษี ร้านค้าและภัตตาคาร โรงแรม รวมทั้ง Business Park และ Airport City ซึ่งมีขนาดพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า และอาคารสำนักงานโดยทางกลุ่ม BBS หรือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ได้จัดทำแผนการพัฒนาโครงการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

ระยะที่ 1 มีอาคารผู้โดยสารขนาดพื้นที่กว่า 157,00 ตารางเมตร พื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2567สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 159 ล้านคนต่อปี

ระยะที่ 2 อาคารผู้โดยสารมีพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 107,00 ตารางเมตรพร้อมทั้งติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และระบบทางเดินเลื่อน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก16 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ.2573 โดยประมาณการว่า จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 30 ล้านคนต่อปี

ระยะที่ 3 เป็นการต่อขยายอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมจากระยะที่ 2 กว่า 107,000 ตารางเมตร เพิ่มจำนวนรถขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) อีก 1 ขบวน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 34 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2585 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 45 ล้านคนต่อปี

ส่วนระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย มีพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังที่สองเพิ่มขึ้นกว่า 82,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งติดตั้งระบบ Check-in แบบอัตโนมัติรวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 14 หลุมจอด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2598 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 60 ล้านคนต่อปี

สำหรับโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 ซึ่งเป็นทางวิ่งที่มีความยาว 3,500 เมตรนั้น กองทัพเรือเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง ซึ่งเป็นโครงการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน HA ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างการออกแบบและจัดทำรายงานEHIA โดยได้จัดการรับฟังความคิดเห็นๆ จากประชาชนโดยรอบโครงการฯ แล้วจำนวน 2 ครั้ง และคาดว่าจะจัดการรับฟังความคิดเห็นฯ ครั้งที่ 3 ในช่วงตันเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งจะเป็นการรับฟังความคิดเห็นฯ ครั้งสุดท้ายของกระบวนการจัดทำรายงาน EHIA

ก่อนนำส่งให้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปลายเดือนสิงหาคม 2563 เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาต่อไป โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 นี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานได้ภายในปี พ.ศ. 2567

นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่าง 3 บริษัท ผู้มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่หลากหลาย ภายใต้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ คือ บริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด

สำหรับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส อยู่ในอุตสาหกรรมการบินมานานกว่า 50ปี บริษัทฯ มีพันธมิตรทางการบินกว่า 100 สายการบินทั่วโลก และดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น อาทิ ครัวการบิน การให้บริการภาคพื้น การให้บริการคลังสินค้า ร้านค้าปลอดอากร รวมถึงธุรกิจสนามบินที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของและบริหารจัดการเองรวม 3 แห่ง ได้แก่ สนามบินสมุย สนามบินสุโขทัย และสนามบินตราด

นอกจากประสบการณ์ในการบริหารสนามบินทั้ง 3 แห่ง สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ นี้ทางกลุ่มฯ ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งคือ สนามบินนานาชาตินาริตะ ซึ่งเป็นสนามบินชั้นนำของโลก เข้ามาร่วมบริหารสนามบินอู่ตะเภาด้วย ซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคลากร การสร้าง และถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการบริหารสนามบินเพื่อก้าวไปสู่ระดับสากล

"บริษัท และพันธมิตรฯ มีความพร้อมและมีความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีมาใช้ในการพัฒนาโครงการ ร่วมกับ อีอีซี และกองทัพเรือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ตามนโยบายและกรอบการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของรัฐบาล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นจุดเริ่มตันของโครงการต่อเนื่องอื่นๆ ที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยได้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต" นายพุฒิพงศ์ กล่าว

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอสกรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ กลุ่มบริษัทบีที่เอส ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนี้ จากการผนึกกำลังของภาคเอกชนทั้งสามกิจการ ภายใต้ความร่วมมือกันใช้ทรัพยากรและศักยภาพที่โดดเด่นสามารถสร้างผลประโยชน์สูงสุดคืนให้กับภาครัฐและประชาชน ตลอดจนยกระดับการพัฒนาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

จากประสบการณ์ที่มีมากกว่า 20 ปี ในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย และได้เปิดให้บริการมาแล้ว20 ปีเศษ รวมระยะทางให้บริการปัจจุบันเกือบ 60 กิโลเมตร และยังมีรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง-ชมพู และรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือจะเป็นโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ กลุ่มบริษัทบีทีเอสได้ดำเนินการมาจำนวนมาก นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังได้ดำเนินธุรกิจด้านสื่อโฆษณานอกบ้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทำธุรกิจทางด้าน E-Payments และเทคโนโลยีด้านระบบเก็บเงิน ทำให้เชื่อได้ว่า กลุ่มบริษัทบีทีเอส จะสามารถช่วยสนับสนุนให้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถยกระดับสู่ศูนย์กลางมหานครการบิน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และ Logistics & Aiation ของ อีอีชี นำไปสู่ การเป็นประตูเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และค้นการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพจะยกระดับการพัฒนาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

"บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นที่จะสร้งสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประชาชนชาวไทยและขอต้อนรับสู่ประตูเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก "Welcome to Our Gateway of EEC" นายสุรพงษ์ กล่าว

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้ว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก บริษัท อู่ตะเภา อิ๋นเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัดได้ก่อตั้งโดยความร่วมมือกันของกลุ่มบริษัทพันธมิตรทั้งสามบริษัทซึ่งแต่ละบริษัท มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆกันทั้งในด้นการบิน การบริหารสนามบินมาอย่างยาวนานการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจให้บริการ ธุรกิจขนส่งมวลชน และทางด้านงานก่อสร้างที่หลากหลาย จึงไม่แปลกใจเลยว่าในอนาคตสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกจะมีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมเป็นศูนย์กลาง

“เมืองการบินอู่ตะเภา” เปิดปี 67 “นายกฯ” เร่งเดินเครื่อง