ทอท.แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจงยิบพิษ โควิด-19 รวมถึงทุก มาตรการเยียวยา สายการบิน- คิงเพาเวอร์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 รับกระทบรายได้ปี63-64 ลด 42-50% แต่ในปี65 คาดมีรายได้เพิ่ม188.13%
ส่วนกรณีปรับวิธีการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ด้วยวิธี ‘Sharing per Head’ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 ให้ กลุ่มคิงเพาเวอร์ เพราะทอท.ต้องเลื่อนเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1รวมถึงเยียวธุรกิจในสนามบินเพื่อลดผลกระทบโควิด-19
แต่เมื่อผู้โดยสารกลับมาเท่ากับจำนวนผู้โดยสารตามประมาณการที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยื่นเสนอราคาไว้ จะปรับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสูตรที่กำหนดไว้ในสัญญา
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. หรือ AOT ได้ลงนามหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา เรื่อง " ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในการขยายระยะเวลาการสิ้นสุดสัญญา และการปรับการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ"
โดยระบุว่าตามหนังสือที่อ้างถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แจ้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) โดยการขยายระยะเวลาการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ การเลื่อนระยะเวลาประกอบกิจการ และกำหนดแนวทางการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของสัญญาให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและสัญญาให้สิทธิประกอบกิจการการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ให้ทราบแล้วนั้น
เนื่องจากได้มีผู้ลงทุนหลายรายสอบถามข้อมูลด้านต่างๆ ในการที่ ทอท. กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ทอท. จึงขอชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้
1.เหตุผลความจำเป็นและแนวทางในการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบดำเนินงานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ส่งผลให้ประเทศต่างๆรวมถึงประเทศไทยประกาศจำกัดการเดินทางเข้าหรือออกนอกประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้การเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศหยุดชะงัก รวมถึงจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. โดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการและสายการบินกว่า 1,000 สัญญา มีรายได้ลดลง ในขณะที่ต้องรับภาระจากค่าใช้จ่ายต่างๆ
ดังนั้น ทอท. ในฐานะรัฐพาณิชย์จึงได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบของสายการบินและผู้ประกอบการ จากการลดลงของจำนวนผู้โดยสาร และสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ
ทอท. ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการตามที่ได้รับการร้องขอ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
1.1 การประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์2563 อนุมัติแนวทางให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญากับ ทอท. โดยเรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละจากยอดรายได้ประกอบกิจการ
โดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 รวมทั้งได้ขยายระยะเวลาการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระปกติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2563 ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน (รายละเอียดมาตรการฯ ปรากฏตามที่ได้แจ้ง ตลท. ตามหนังสือ ทอท. ที่ 2834/2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563)
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
อ่วม ทอท.ไตรมาส 3 ขาดทุนเฉียด 3 พันล้าน
ทอท.แจงยิบ โต้ปมกังขา อุ้ม คิงเพาเวอร์ กระทบผลประโยชน์ชาติ
1.2 การประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 5/2563เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563อนุมัติการกำหนดอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่และอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากการประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายหลังสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือตามข้อ 1.1 ในวันที่ 31 มีนาคม 2565แล้ว โดย ทอท.จะเรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยใช้อัตราผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของปี2562 เป็นฐานในการคำนวณ
นอกจากนี้ ยังกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินเพิ่มเติม เช่น การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน ค่าธรรมเนียมที่เก็บอากาศยาน ค่าเช่าพื้นที่ในการประกอบกิจการ ในอัตราร้อยละ 50 เป็นต้น
รวมทั้งเลื่อนระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว สำหรับยอดที่ครบกำหนดชำระตามระยะเวลาการประกอบกิจการปกติออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563พร้อมทั้งกำหนดแนวทางในการนำอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมาใช้ภายหลังสิ้นสุดมาตรการฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่สัญญาในการประกอบกิจการ (รายละเอียดมาตรการฯ ปรากฏตามที่ได้แจ้ง ตลท. ตามหนังสือ ทอท. ที่ 6383/2563ลงวันที่ 23 เมษายน 2563)
1.3 การประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 8/2563เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนของผู้ประกอบการและสายการบินสำหรับยอดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2563ออกไปอีก จาก 6 เดือน เป็น 12 เดือน เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายลง (รายละเอียดมาตรการฯ ปรากฏตามที่ได้แจ้ง ตลท. ตามหนังสือ ทอท. ที่ 11328/2563ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563)
2.แนวทางการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ทสภ., ทภก., ทชม. และ ทหญ. และบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ณ ทสภ. ด้วยวิธีประมูลเสนอราคากำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563-31 มีนาคม 2574
โดยในช่วง 6 เดือนแรกของสัญญาจะเป็นช่วงที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ทั้งภายในอาคารผู้โดยสารหลัก และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1)
แต่เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการ ไม่สามารถเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ได้ตามกำหนด รวมทั้งส่งผลต่อแผนการเปิดใช้อาคาร SAT-1 จากเดิมซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2563ต้องเลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม2565 (ทั้งนี้ กำหนดการดังกล่าว ทอท. ได้พิจารณาจากปัจจัยหลักในเรื่องกำหนดแล้วเสร็จ ประกอบกับการทดสอบระบบ รวมทั้งจำนวนผู้โดยสารที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของ ทอท.ด้วย)
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับการพิจารณากำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ตามข้อ 1 ไม่ครอบคลุมสัญญาของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งได้เสนอค่าตอบแทนขั้นต่ำปีแรกจากประมาณการของจำนวนผู้โดยสาร ในปี 2564 เป็นหลัก ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ได้มีหนังสือร้องขอให้ ทอท. พิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 จึงมีมติอนุมัติให้เลื่อนเวลาการเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ออกไปอีก 1 ปี พร้อมทั้งขยายระยะเวลาสิ้นสุดของการประกอบกิจการออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 31 มีนาคม2574 เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2575
ทั้งปรับการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน2565 โดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing per Head) ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นเสนอไว้เดิมในการประมูล มาคำนวณร่วมกับจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้นๆ ในขณะที่ยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละเหมือนเดิม
เมื่อใดที่จำนวนผู้โดยสารกลับมาเท่ากับจำนวนผู้โดยสารตามประมาณการที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นเสนอราคาไว้ จะปรับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสูตรที่กำหนดไว้ในสัญญา (รายละเอียดมาตรการฯ ปรากฎตามที่ได้แจ้ง ตลท. ตามหนังสือ ทอท. ที่ 11380/2563 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม2563)
3.ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามที่ได้ชี้แจงข้างต้น ทอท. ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ ด้านประกอบกัน อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน รวมทั้งได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ และหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ จะสามารถทำให้องค์กรสามารถดำเนินงานไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของ ทอท. และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
4. จากผลกระทบของสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ การดำเนินงานของ ทอท. อย่างมีนัยสำคัญ ทอท. ได้มีหนังสือแจ้งประมาณการปริมาณการจรจรทางอากาศ ในช่วงปี2563-2565 และรายได้ที่คาดว่าจะลดลงให้ ตลท. ทราบแล้ว ตามหนังสือ ทอท. ที่ 9379/2563 ลงวันที่ 17 มิถุนายน2563 และเมื่อได้พิจารณาประกอบกับมาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ตามข้อ 1 และข้อ 2 แล้ว จะมีผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. ดังนี้
ในปี2563 ทอท. คาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ 2562ในอัตรา50.70%
ในปี 2564ทอท. คาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ2563 ในอัตรา42.21%
ในปี 2565ทอท. คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2564 ในอัตรา188.13%
ทั้งนี้ ภายใต้การคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้โดยมีวัคซีนป้องกันโรค และปริมาณการจราจรทางอากาศในปี 2565จะมีจำนวนผู้โดยสาร คิดเป็นร้อยละ 76 ของปี 2562 (ซึ่งเป็นปีก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19)