แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแบบจำกัด ภายใต้เงื่อนไขการออก วีซ่านักท่องเที่ยวแบบใหม่ (Special Tourist VISA:STV) หรือ สเปเชียลทัวริสต์ วีซ่า สำหรับต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าไทย มีระยะเวลาอยู่ในไทยได้ 90 วัน และต่ออายุได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวมสูงสุด 270 วัน เพื่อดึงกลุ่มพำนักระยะยาว หรือ พรีเมียมลองสเตย์ เข้าไทย โดยต้องพำนักในไทยอย่างน้อย 30 วัน
ทั้งนี้ต่างชาติกลุ่มแรกที่จะเดินทางเข้าไทย เป็นคนจีน จากเมืองกวางโจว จำนวน 150 คน ซึ่งเป็น กลุ่ม Business Traveler ของบริษัท ซีพี ในจีน ซึ่งเดินทางผ่านการจัดการของ บริษัทไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด ผ่านเที่ยวบินเช่าเหมาลำ โดยทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าน่าจะเข้ามาได้ก่อนวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ไม่ทันวันที่ 8 ตุลาคมนี้ เนื่องจากติดขั้นตอนเรื่องการเตรียมเอกสารต่างๆ
จากข้อมูลของบริษัทกวางโจว แพนด้า อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวล เซอร์วิส จำกัด ระบุว่าแพ็กเกจดังกล่าวที่จะเดินทางมาไทย อยู่ที่ 173,550 บาท รวมการกักตัว 14 วันในโรงแรมระดับ 5 ดาว,อาหาร 3 มื้อต่อวัน, ตั๋วเครื่องบิน (ขาเดียว) จากกวางโจวเข้า สนามบินภูเก็ต โดย การบินไทย (ไทยสมายล์),ประกันสุขภาพระยะเวลา 90 วัน, การตรวจโควิด-19 จำนวน 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตามในเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะมีคนจีนจากกวางโจว ทยอยเดินทางเข้าไทย ภายใต้ STV ซึ่งจะทั้งการเดินทางโดยไพเวท เจ็ท และ เที่ยวบินเช่าเหมาลำ 1-3 ไฟลต์ต่อสัปดาห์ ไฟลต์ละ 100 คน คาด 1 เดือนจะมาทั้งสิ้น 1,200 คน จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน จะเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และแชงเก้น ไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ
การทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบจำกัด ภายใต้ STV ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขกักตัว 14 วัน ส่งผลให้ในขณะนี้โรงแรมหลายแห่ง ที่ส่วนใหญ่มีฐานลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างยื่นขอสมัครเข้าที่พักประเภท Alternative State Quarantine (ASQ) สำหรับโรงแรมในกรุงเทพฯ และ Alternative Local Quarantine (ALQ) สำหรับโรงแรมในต่างจังหวัด
ที่ผ่านมามีโรงแรมในกรุงเทพฯ ผ่านการตรวจประเมิน (ASQ) 75 แห่ง ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัด ที่ผ่านการประเมิน (ALQ) ก่อนหน้านี้มีแค่ 5 แห่งเท่านั้น แต่หลังจากรัฐบาลมีนโยบาย STV ส่งผลให้ในขณะนี้หลายโรงแรมทยอยเข้าตรวจการประเมินที่พักประเภทALQ เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมีโรงแรมในต่างจังหวัด ผ่านการตรวจประเมิน ALQ จำนวน 12 แห่ง โดยในจ.ภูเก็ต มี 9 โรงแรม รวม 1,142 ห้อง ประกอบไปด้วย โรงแรมอนันตรา ไม้ขาว ภูเก็ต 36 วิลล่า, โรงแรมตรีศาลา ภูเก็ต 15 วิลล่า, โรงแรมอนันตรา ภูเก็ต สวีทส์แอนด์ วิลล่า 100 ห้อง,โรงแรมภูเก็ต เกรซแลนด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา 343 ห้อง,โรงแรมเมธาดี รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า 71 ห้อง, โรงแรมบันยันทรี ภูเก็ต 220 ห้อง,โรงแรมเจดับบลิว แมริออท โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท 262 ห้อง,โรงแรมลากูนา ฮอลิเดย์ อินน์ คลับ ภูเก็ต รีสอร์ท 79 ห้องและโรงแรมเดอะเซนส์เซส รีสอร์ท แอนด์ พูลวิลล่า 16 ห้อง
ส่วนจ.บุรีรัมย์ มี 1 แห่ง คือ โรงแรมอมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 30 ห้อง ขณะที่ จ.ชลบุรี มี 1 แห่ง คือ โรงแรมชลบุรี เบสท์ เบลลา พัทยา 75 ห้อง และ จ.ปราจีนบุรี มี 1 แห่ง คือ โรงแรมทวารวดี รีสอร์ท 96 ห้อง
อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่มีโรงแรมอยู่ระหว่างยื่นขอตรวจประเมิน ALQ จะอยู่ในจ.ภูเก็ตมากที่สุด โดยมีโรงแรมสมัครเข้าประเมิน ALQ มากถึง 73 แห่ง รวมกว่า 5,800 ห้อง ตามมาด้วยสมุย มีจำนวน 10 โรงแรม ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจประเมินอยู่ ซึ่งไม่ใช่ทุกโรงแรมจะผ่านประเมิน เพราะจะต้องเป็นโรงแรมที่ต้องเข้าหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหมกำหนดไว้ รวมถึงโรงแรมยังต้องมีโรงพยาบาล เข้ามาร่วมเป็นคู่สัญญาหลักด้วย
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,615 วันที่ 4 - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2563
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
สายการบิน ขยับรับ "สเปเชียล ทัวริสต์ วีซ่า"
สเปเชียล ทัวริสต์ วีซ่า ใบเบิกทาง รับ "ลองสเตย์" ต่างชาติ นำร่องฟื้นท่องเที่ยว
เปิดลิสต์ 73 โรงแรมหรู รับคนไทยมีตังค์-ต่างชาติ ต้องจ่ายเท่าไหร่กักตัว14วัน