ปัจจุบัน ( ณ วันที่ 27 มีนาคม 2564) ทั่วโลกมียอด ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 รวมแล้วกว่า 518.3 ล้านคน ดังนั้นรัฐบาลจึงได้วาง ไทม์ไลน์ในการเปิดประเทศ รับ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป นำร่องใน 6 จังหวัดท่องเที่ยวได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย พัทยา เชียงใหม่ โดย นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว จะ ลดการกักตัว ในโรงแรมเหลือ 7 วัน ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จะกักตัว 10 วัน ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากทวีปแอฟริกาที่ยังคงต้องกักตัว 14 วันอยู่เหมือนเดิม
อีกทั้งในวันที่ 1 ก.ค.นี้ จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสมาเที่ยวได้โดยไม่ต้องถูกกักตัวนำร่องที่จังหวัด ภูเก็ต เป็นแห่งแรก “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ก่อนจะขยายพื้นที่ไปยังอีก 5 จังหวัดที่เหลือ ก่อนเปิดประเทศรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวในทุกพื้นที่ได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 ในเดือนมกราคมเป็นต้นไป ภายใต้เงื่อนไขว่าประชาชนในพื้นที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้วไม่ต่ำกว่า 70%
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การนำร่อง 6 จังหวัดในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติก่อน เนื่องจากเมืองเหล่านี้สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทในปี2562
โดยผู้ประกอบการโรงแรมจะต้องสมัครเข้าร่วมโครงการ Area Quarantine ก่อน เพื่อให้โรงแรมต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆในการเฝ้าระวังโควิด-19 ซึ่งขณะนี้มีโรงแรมสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 2,752 ห้อง และมั่นใจว่าหลังจากนี้ก็จะมีโรงแรมต่างๆสมัครเข้ามาร่วมโครงการมากขึ้น
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรม Area Quarantine ไม่จำเป็นต้องกักตัวอยู่แต่เฉพาะในห้องพักเท่านั้น แต่จะต้องอยู่ภายในโรงแรมให้ครบ 7 วัน ซึ่งจากการสำรวจความต้องการในการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พบว่า ในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนนี้ มีแผนจะเปิดเที่ยวบินเช่าเหมาลำมาเที่ยวใน 6 จังหวัดนำร่องนี้ รวมกว่า 1 แสนคน
ส่วนใหญ่เป็นรัสเซีย สแกนดิเนเวีย อังกฤษ เยอรมัน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ฉีดวัคซีนแล้วและอยากเดินทางมาเที่ยวไทย
โดยเฉพาะรัสเซีย ซึ่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีเดินทางเข้าไปเที่ยวมัลดีฟส์ ร่วม 5 แสนคน เพราะมัลดีฟส์มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และเมื่อไทยเปิดประเทศนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็พร้อมจะหนีหนาวเข้าไทย
ส่วนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีน ที่จะเริ่มที่ภูเก็ต ภายใต้โมเดล “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์”ตั้งแต่วัน 1 ก.ค.นี้เราก็มั่นใจว่าจะมีการเดินทางเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น
ส่วนอีก 5 พื้นที่ที่เหลือก็คาดว่าจะทยอยใช้โมเดลแซนด์บ็อกซ์ (ไม่ต้องกักตัว) เมื่อคนในพื้นที่เหล่านี้ฉีดวัคซีนได้ไม่น้อยกว่า 70%
ขณะที่พื้นที่น่าจะไม่ต้องกักตัวได้อันดับต่อไป น่าจะเป็นเมืองพัทยา และ 5 เทศบาลรอบเมืองพัทยา
เนื่องจากในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ย.นี้ ไทยจะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยเดือนละกว่า 10 ล้านโดส ซึ่งพัทยาต้องการ 9 แสนโดส-1 ล้านโดส ก็คาดว่าในเดือนก.ย.นี้ก็จะเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวันซีนแล้วโดยไม่ต้องกักตัวเหมือนภูเก็ต
“ตลอดทั้งปีนี้เราหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทย 6.5 ล้านคน หรือนำรายได้เข้าได้ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าไม่ง่าย แต่เราต้องพยายาม
เพราะปัจจัยหลักอยู่ที่ประเทศกลุ่มเป้าหมายหลัก อย่างจีนด้วยว่าในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นวันชาติจีน ทางรัฐบาลจีนจะเปิดให้คนเดินทางออกนอกประเทศแล้วหรือยัง รวมถึงมาเลเซียด้วย ซึ่งถ้า 2 ประเทศนี้เปิดให้คนเดินทางออกนอกประเทศได้เป้าหมายนักท่องเที่ยว 6.5 ล้านคนก็มั่นใจว่าเป็นไปได้”
สำหรับการเปิดประเทศในปี2565 เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวในทุกประเทศของไทย เป็นการประเมินเบื้องต้น เนื่องจากรัฐบาลคาดว่าจนถึงสิ้นปี2564 ประเทศไทยน่าจะฉีดวัคซีนให้คนในประเทศได้แล้วกว่า 60% นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่ าการลดจำนวนวันกักตัวลงเหลือ 7 วัน ในเดือนเมษายนนี้ส่วนหนึ่งก็จะช่วยผ่อนคลายให้กลุ่มนักธุรกิจ
รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคนทำงานแบบไร้ออฟฟิศหรือ Digital Nomad เดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวจริงๆน่าจะเริ่มได้ในวันที่ 1 ก.ค. เพราะนักท่องเที่ยวที่ฉีดวีคซีนแล้วจะเข้ามาเที่ยวภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัว
โดยเมื่อเริ่มต้นจากที่ภูเก็ตแล้ว ต่อไปก็จะขยายไปยังเมืองอื่นได้ ซึ่งนอกจากการรอวัคซีนของรัฐบาลแล้ว ในขณะนี้กลุ่มเครือโรงแรมต่างๆรวมถึงโรงแรมเชน ก็เริ่มไปจองวัคซีนกับโรงพยาบาลเอกชนไว้แล้ว ซึ่งถ้ารัฐบาลให้โรงพยาบาลนำเข้าวัคซีนได้ ก็จะทำให้เกิดความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้น
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เผยว่า หลังจากครม.มีมตินำร่องให้ภูเก็ต เปิดรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัว ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ก.ค.นี้ สิ่งที่ต้องเตรียมการจากนี้จะมี 3 เรื่องหลักได้แก่
1.การรณรงค์ให้คนในภูเก็ตฉีดวัคซีน ซึ่งต้องใช้วัคซีน 933,174 โดส เพื่อฉีดให้ประชากร 466,587 คน โดยรัฐบาลจะส่งวัคซีนจำนวน 5 หมื่นโดสถึงภูเก็ตในวันที่ 31 มีนาคมนี้ และจะทยอยส่งมาเรื่อยๆจนครบทั้งหมดภายในเดือนมิถุนายนนี้
2.การเตรียมเรื่อง SOP ในการเดินทางเข้ามาของต่างชาติ ทั้งเรื่องของการรับรองวัคซีน การจัดทำเรื่องวัคซีนพาสปอร์ตต่างๆ และ
3.การเตรียมของความพร้อมของธุรกิจในการรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันในภูเก็ตมีโรงแรมเปิดให้บริการอยู่ราว 30% หรือ 300 แห่ง จาก 1 พันกว่าแห่ง ก็จะทยอยกลับมาเปิดใหม่มากขึ้นรวมถึงร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
การเรียกแรงงานที่กลับภูมิลำเนา กลับมาฉีดวัคซีน เป็นต้น ซึ่งตอนนี้แค่เราประกาศข่าวออกไปว่าจะไม่กักตัว ก็มีคนอยากเดินทางเข้าภูเก็ตร่วม 1 แสนคนแล้ว
โดยทางสมาคมท่องเที่ยวภูเกตประเมินว่าในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ หากเปิดภูเก็ตได้โดยไม่กักตัว จะทำให้ภูเก็ตมีรายได้จากการท่องเที่ยวและเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 84,000 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวใน 2 ไตรมาสนี้ที่น่าจะอยู่ที่ 30-35% จากเดิม หรือได้อย่างน้อย 1.5 ล้านคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.เคาะโรดแมพเปิดประเทศ เริ่ม1 เม.ย.นี้ที่ภูเก็ต
เปิดรายชื่อ11 ประเทศ เข้าไทยหลัง1 เม.ย.ยังต้องกักตัว 14 วัน
ศบศ.เคาะ 1 ก.ค.นี้ เปิดประเทศ คนฉีดวัคซีนโควิดไม่ต้องกักตัว
ไทม์ไลน์เปิดประเทศ รับต่างชาติ ปั๊มท่องเที่ยว 1.2 ล้านล้าน
"การบินไทย"เปิดเที่ยวบินตรงแฟรงก์เฟิร์ต-ภูเก็ตรับเปิดประเทศ
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,666 วันที่ 1 - 3 เมษายน พ.ศ. 2564