บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้แจ้งทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ที่คาดว่าจะใช้เงินราว 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นราว 81.07 % จากปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 18.93 % ถือเป็นการรุกเข้าสู่ธุรกิจด้านโทรคมนาคม ของกลุ่มกัลฟ์ฯ อย่างเต็มตัว
ในวงการต่างมองว่าการดีลธุรกิจที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ได้อยู่เหนือบนความคาดหมาย ภายใต้การนำของนายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับทุกรัฐบาล ซึ่งกลุ่มกัลฟ์ฯพยายามที่จะเข้าไปรุกธุรกิจทางด้านนี้อยู่แล้ว เพื่อสยายปีกโครงสร้างธุรกิจทั้ง 5 ธุรกิจที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกเข้าสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ที่เข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประมูลโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 ที่จะเซ็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในไตรมาส 2 ปีนี้ และยังมีโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะเซ็นสัญญา PPP ได้ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้
เริ่มต้นจากธุรกิจไฟฟ้า
หากย้อนกลับไปการดำเนินธุรกิจของกลุ่มกัลฟ์ฯ ถือว่านายสารัชถ์ เข้ามามีบทบาทตั้งแต่แรก จากผู้ที่เคยอยู่ในแวดวงทางการเงิน และก้าวเข้ามาสู่วงการพลังงาน โดยการประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่หรือไอพีพี และมาถึงการประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กหรือเอสพีพี ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้าในปัจจุบันมีโครงการที่ลงนามซื้อขายไฟฟ้าแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนาราว 36 โครงการ ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม โอมาน และเยอรมัน รวมกำลังผลิตราว 13,556 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ หากรวมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าไปด้วยแล้ว จะมีกำลังการผลิตเป็น 14,304 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570 โดยจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP ที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วกำลังการผลิตรวม 11,172 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 78%, โรงไฟฟ้า SPP รวม 2,394 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 17% และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 738 เมกะวัตต์
ขณะที่ปี 2573 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า Power Generation อยู่ที่ 70% และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 30% โดยจะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (Hydro Power Projects) ที่สปป.ลาว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาคาดว่าจะได้ข้อสรุปในครึ่งปีหลังนี้
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจไฟฟ้ากลุ่มกัลฟ์ฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ 6,409 เมกะวัตต์ และคาดภายในสิ้นปี 2564 จะเพิ่มเป็น 7,903 เมกะวัตต์ ซึ่งภายใต้โครงการที่สามารถจ่ายไฟฟ้าหรือ COD ได้ทั้งหมด บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไว้ราว 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 35,833 ล้านบาท และจะทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มถึงระดับ 4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตที่ 50%
รุกธุรกิจก๊าซต่อยอด
จากการปูพื้นฐานของธุรกิจไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนี้เอง ส่งผลให้กลุ่มกัลฟ์ เริ่มสยายปีก เข้าสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว และรุกเข้าสู่ธุรกิจต้นน้ำอย่างก๊าซธรรมชาติต่อยอดให้กับธุรกิจไฟฟ้าที่มีอยู่
ที่สำคัญกลุ่มกัลฟ์ฯได้ก้าวเข้าสู่การลงทุนก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ที่สามารถรองรับการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีได้ถึง 10.8 ล้านตันต่อปี และยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้กิจการร่วมค้า (HKH) เพื่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ในปริมาณรวม 1.4 ล้านตันต่อปี อีกด้วย
รวมถึงตั้งบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด หรือ PTT NGD เพื่อลงทุนในการก่อสร้างระบบท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดระยอง ล่าสุดได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน PTT NGD โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 2% จาก บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด (CPBE) ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 130 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นใน PTT NGD ประกอบด้วย บมจ. ปตท. (PTT) ถือหุ้น 58% และกัลฟ์ฯ ถือหุ้น 42%
รองรับเปิดเสรีไฟฟ้า
ส่วนการลงทุนในหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท INTUCH นั้น กัลฟ์ฯได้ชี้แจงเหตุผลถึงการเข้าทำเทนเดอร์ INTUCH ว่ามาจากการเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเข้าสู่ดิจิตอล ซึ่งบริษัทต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล ไม่ได้ต้องการธุรกิจโทรศัพท์มือถือ หรือดาวเทียม INTUCH เป็นบริษัทที่มีดิจิตอลครอบคลุม จะช่วยบริษัทให้เตรียมความพร้อมเข้าสู่อนาคตดิจิตอลได้ ทั้งนี้ คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จภายในปลายเดือนกรกฎาคม 2564
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย )มองว่า กัลฟ์ฯ มองเห็นโอกาสการลงทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนยั่งยืน โดย INTUCH น่าจะเป็นการลงทุนที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอจาก ADVANC ซึ่งเป็น Operator อันดับหนึ่งของไทย ช่วยให้ INTUCH มีกระแสเงินสดอิสระต่อปีประมาณ 9,000-10,000 ล้านบาท ฐานะการเงิน INTUCH มีหนีสิ้นมีภาระดอกเบี้ยต่อทุนแค่ 0.09 เท่า
นอกจากนี้ INTUCH จะเป็นหนทางการต่อยอดการลงทุนของกัลฟ์ฯในด้านการเข้าสู่ธุรกิจเปิดเสรีขายไฟฟ้า ซึ่งจะทำธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) แต่ในช่วงนี้กัลฟ์ฯมองผลตอบแทนเงินลงทุนจาก INTUCH น่าพอใจ อีกทั้งภาระการลงทุนจากมุมมองที่ทำเทนเดอร์ไม่ทั้งหมด ฐานะการเงินของกัลฟ์ฯ ยังรับได้ล่าสุดมี Net Gearing 1.4 เท่า ยังต่ำเทียบกับข้อจำกัดการกู้ของบริษัท 3.5 เท่า ทางบริษัทยังมีช่องทางการกู้เงินเพื่อลงทุนอีก 150,000-170,000 ล้านบาท โอกาสเพิ่มทุนน้อย
ทั้งนี้ หากประเมินการถือหุ้น 50% คาดว่าจะมีการรวมงบ และจะมีกำไรส่วนเพิ่มจาก INTUCH ประมาณปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท เทียบกับประมาณการกำไรกัลฟ์ฯประมาณ 7,000 - 8,000 ล้านบาท ซึ่งผลดีจากการซื้อ INTUCH จะเป็นส่วนเพิ่มต่อกำไรในแง่การรวมงบ
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,672 วันที่ 22 - 24 เมษายน พ.ศ. 2564