ติดโควิดทะลุหมื่น-อียูถอดไทยพ้นลิสต์ปลอดภัย สะเทือน ‘ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์’

18 ก.ค. 2564 | 05:01 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ค. 2564 | 12:32 น.

ไทยยอดติดโควิดพุ่งทะลุหมื่น ซ้ำถูกสหภาพยุโรปหรือ อียูถอดชื่อไทยลิสต์ปลอดภัย สะเทือน ‘ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์’ หลังเริ่มเห็นสัญญาณยอดจองห้องพักของโรงแรมเริ่มเติบโตแบบถดถอย

นับจากคิ๊กออฟ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.64 ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในทิศทางบวกพอสมควร แม้อาจจะไม่ได้มากมาย แต่อย่างน้อยก็เป็นการจุดประกายความหวังในการกลับมาดำเนินธุรกิจในภูเก็ตได้อีกครั้ง จากที่ไร้นักท่องเที่ยวมาร่วม 1 ปีกว่า

 

แต่จากยอดการติดเชื้อในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้นทะลุหมื่นคน ประกอบกับล่าสุดสหภาพยุโรป หรือ อียู ถอดชื่อประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด 

 

ประกอบกับเริ่มพบการติดเชื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในภูเก็ต  ขณะนี้แม้จะยังไม่มาก แต่ก็สะเทือนโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” อยู่พอสมควร

 

บุ๊กกิ้งแล้ว1.7 แสนรูมไนท์

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีความหวังกับ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่วันที่ 1-11 ก.ค.64 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 4,568 คน ส่งผลให้ยอดการจองห้องพักผ่านระบบSHABAในภูเก็ตอยู่ที่ 174,501 รูมไนท์(คืน) (เฉลี่ยวันเข้าพักอยู่ที่11.38 คืน) จากจำนวนโรงแรมกว่า 305 แห่ง

 

โดยในเดือนก.ค.มียอดจอง 153,999 คืน ( 88%) ส.ค. 18,834 คืน (11%) ก.ย. 1,668 คืน (0.9%) ต.ค.64-ก.พ.65 จำนวน 1,355 คืน (0.8%) ซึ่งพื้นที่ป่าตอง มีการเข้าพักสูงสุดอยู่ที่38.26% ตามมาด้วยเชิงทะเล 14.88% กะรน 12.48% ไม้ขาว 7.72% ราไวย์ 5.77% กมลา 5.47% เป็นต้น

 

การเข้าพักของนักท่องเที่ยวไม่เพียงทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับอานิสงส์เท่านั้น แต่ยังกระจายไปถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่อง แม้กระทั่งร้านหมอฟัน ที่เคยปิดกิจการไปเมื่อเริ่มมีนักท่องเที่ยวก็กลับมาเปิดใหม่ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น

ติดโควิดทะลุหมื่น-อียูถอดไทยพ้นลิสต์ปลอดภัย สะเทือน ‘ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์’

 

“วันนี้โรงแรมในภูเก็ตมียอดเข้าพัก 174,501 คืนแล้ว แม้อาจจะไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาภูเก็ตในช่วง 3 เดือน (ก.ค.ก.ย.64)อยู่ที่ 1 แสนคน ซึ่งประเมินการใช้ห้องพักทั้งหมดอยู่ที่ 1 ล้านรูมไนท์ แต่การเข้ามาของนักท่องเที่ยวท่ามกลางโควิด แม้จะน้อย แต่ก็ยังดีกว่าการไม่มีเลย”

อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวก็ยังมีแนวโน้มต่อวันขยับเพิ่มขึ้น จากวันแรกเข้ามา 325 คน ก็ขยับเพิ่มมาเป็น 600-700 คนต่อวันแล้ว และมีแนวโน้มว่าหลังช่วงกลางเดือนนี้จะเพิ่มเป็นวันละพันคน และในช่วงปลายเดือนจะขยับเพิ่มเป็นวันละ 2 พันกว่าคน

 

โดยนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาผ่านเครื่องบินโดยสารและไพรเวท เจ็ทบางส่วน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมีทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และกลุ่มกำลังซื้อสูงจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เมียนมา หวั่นติดเชื้อพุ่งชะลอเดินทาง

 

อย่างไรก็ตามจากแนวโน้มการจองห้องพักที่เริ่มขยับขึ้น แต่นับจากยอดการติดเชื้อภายในประเทศของไทยที่เพิ่มสูง และตอนนี้ไม่ได้สูงแค่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯแต่ยังเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือแม้แต่กระบี่เอง

 

จุดนี้เป็นข้อกังวลหลัก เพราะนักท่องเที่ยวก็คงไม่อยากจะมาเที่ยว เพราะเขามองภาพรวมของประเทศไทยเป็นหลัก และเริ่มเห็นสัญญาณของยอดการจองจากกราฟไต่ระดับขึ้น เริ่มไต่ระดับลดลง

 

ประกอบกับเริ่มพบการติดเชื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่ง ณ วันที่ 17 ก.ค.64 พบผู้ติดเชื้อรวมสะสมรวม16 คน  แม้จะยังมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาแล้วกว่า 7,462 คน

 

แต่ด้วยความที่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น ตามเงื่อนไขของ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” กำหนดว่าผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อจะต้องเข้าพักในสถานกักตัวทางเลือกหรือโรงแรมที่เป็นALQ แทน ต้องกักตัวอยู่แต่ในห้องพักจำนวน 14 วัน

 

ก็ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเลือกที่จะเดินทางกลับประเทศทันที หรือคนที่อยู่ก็ต้องไปพักในโรงแรม ALQ ก็ไม่พอใจ เพราะตั้งใจมา “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ที่เข้ามาเที่ยวภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัว ก็ทำให้เริ่มมีการโพสต์ไม่พอใจในเฉพาะแง่มุมของตนเอง

 

ทั้งๆที่มาตรการเหล่านี้นักท่องเที่ยวรับทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่าเป็นการควบคุมการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังภูเก็ต

 

ทำให้ในขณะนี้ททท.ต้องเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว และการสอบสวนโรคที่เกิดขึ้น และรัฐบาลต้องควบคุมการติดเชื้อในประเทศไทยให้ลดลงกว่านี้ให้ได้

 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)กล่าวว่าแม้ภูเก็ตจะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ตามเงื่อนไขของแผนเผชิญเหตุที่กำหนดไว้ ซึ่งเมื่อพบผู้ติดเชื้อใหม่ก็มีการดำเนินมาตรการตามขั้นตอนของสาธารณสุขได้อย่างทันท่วงที

 

ก็แสดงถึงการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ที่สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน และปัจจุบันยอดการจองของนักท่องเที่ยวก็เริ่มมีเข้ามาต่อเนื่องไปถึงช่วงไฮน์ซีซันนี้ (ต.ค.64-ก.พ.65)ที่ก็มีเข้ามาแล้วจำนวน 1,355 คืน

 

ตั้งการ์ดสูงคุมติดเชื้อใหม่

 

นอกจากนี้ล่าสุดจากมาตรการล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นสูงในหลายพื้นที่ ก็ทำให้ภูเก็ต ตั้งการ์ดสูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อในพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สั่งปิดโรงเรียนทุกแห่งในภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 12-23 ก.ค.นี้ แต่ล่าสุดยังออกมาตรการเพิ่มการคัดกรองคนไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยเดินทางเข้าภูเก็ต มีผลตั้งแต่วันที่ 15-31 ก.ค.นี้

 

โดยกำหนดให้คนจากพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด และพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 24 จังหวัด นอกจากฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม หรือแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็มเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันแล้วยังไม่พอ แต่จะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการตรวจด้วย

 

รวมถึงกรณีนักเรียนนักศึกษาอายุไม่ถึง 18 ปีที่ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ และมีความจำเป็นต้องเข้าภูเก็ต ต้องให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษารับรองและต้องตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR ด้วยเช่นกันก่อนเข้าภูเก็ต เนื่องจากหวั่นว่าเมื่อกรุงเทพฯล็อกดาวน์ จะมีคนเดินทางออกจากพื้นที่สีแดงเข็มและสีแดงเดินทางเข้ามาภูเก็ต

 

ดังนั้นการยกระดับให้คนจากพื้นที่เหล่านี้ต้องจากได้รับการฉีดวัคซีนแล้วต้องตรวจหาเชื้อโควิดด้วย ก็จะเป็นแนวทางเดียวกันกับแนว ทางปฏฺบัติของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายใต้ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์”

 

ขณะนี้ภูเก็ตต้องตั้งการ์ดสูง เพราะในพื้นที่เองแม้จำนวนการติดเชื้อจะไม่มาก แต่ก็มีการพบสายพันธุ์เดลต้าและเบต้าอยู่ด้วย ทำให้ตรวจคัดกรองและดำเนินการให้เป็นไปตามแผนเผชิญเหตุจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มาก กว่า 90 รายต่อสัปดาห์ ก็อาจจะนำไปสู่การยกเลิกโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ได้ด้วยเช่นกัน