การตั้งเป้าหมาย 120 วันเปิดประเทศตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี นายกย้ำให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำร่องไว้ใน 10 จังหวัดนั้น
วันนี้เป้าหมายก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ แต่การจะเปิดในแต่ละพื้นที่ได้ไทม์ไลน์ที่วางไว้หรือไม่ ผมไม่อยากนั่งเทียน เพราะต้องดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
โดยสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่นั้นๆ ประกอบกับคนในพื้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 70% ประกอบกับการแพร่ระบาดในไทยที่รุนแรงขึ้น การเปิดพื้นที่ท่องเที่ยว ก็ต้องปรับแผนให้สอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วย
วันนี้ไทยมียอดการติดเชื้อโควิดทะลุ 1 หมื่นคน การนำร่องเปิดการท่องเที่ยว ชัดเจนว่าขณะนี้เราต้องรักษาฐานใน 4 จังหวัดเอาให้อยู่ก่อน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในปีนี้ หลังจากนำร่อง “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ในวันที่ 1 ก.ค.ไปแล้ว
ก็ตามมาด้วยการเปิดเกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ในโครงการ "สมุยพลัส" ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ และจะตามมาในวันที่ส.ค.นี้ คือ พื้นที่เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เลย์ จ.กระบี่ พื้นที่เขาหลัก และเกาะยาว จ.พังงา ซึ่งเป็นเฟสที่ 3 ของการนำร่องเปิดประเทศที่จะเกิดขึ้น
เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดน้อยมาก และส่วนใหญ่ประชากรในพื้นที่นี้ได้รับวัคซีนครบ 70% ยกเว้นเขาหลัก ที่เพิ่งจะได้ 40% แต่ก็น่าจะได้ครบตามเป้าหมายภายในเดือนนี้
ส่วนพื้นที่ถัดมา ที่ตามแผนจะเริ่ม 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป ก็ต้องมีการประเมินสถานการณ์ก่อน รวมถึงการหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่นั้นๆด้วย
อย่าง ชลบุรี ตอนนี้ยังมีการแพร่ระบาดอยู่มาก ก็ต้องพิจารณาว่าเมื่อใกล้ถึงเวลานั้นการควบคุมการแพร่ระบาดจะลดลงได้มากน้อยแค่หรือไหน เพราะอย่างจ.ชลบุรี เขาก็เสนอเปิดเฉพาะพื้นที่อ.บางละมุง และอ.สัตหีบ
หรือแม้แต่บุรีรัมย์ เราก็กำลังรอข้อสรุปว่าจะมีการเลื่อนจัดงานโมโต จีพี หรือไม่ ซึ่งถ้าเลื่อน ก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิดบุรีรัมย์ ก็ได้ เป็นต้น หรือเชียงใหม่ ตอนนี้ก็มีการติดเชื้อไม่มาก จะดำเนินการอย่างไร
ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ชะอำ จ.เพชรบุรี หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ตอนนี้จังหวัดเหล่านี้ก็มีการแพร่ระบาดสูงอยู่ ก็ต้องดูว่าต่อไปการแพร่ระบาดจะเบาบางลงหรือไม่ ถ้าจังหวัดไหนระบาดเบาบาง ก็จะเปิดภายในปีนี้เลย
อีกทั้งวันนี้เราจะไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่นำร่อง10 จังหวัดเท่านั้น เพราะอย่างกรุงเทพฯเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม ถึงเปิดนักท่องเที่ยวก็คงไม่อยากมา ต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลายก่อน แต่ถ้าจังหวัดไหนพร้อมก่อนก็เริ่มได้ก่อน
เพราะก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ เช่นพื้นที่สีเขียว พื้นที่สีเหลือง ที่มีการแพร่ระบาดน้อย เช่นอุบลราชธานี หนองคาย สุโขทัย หรือเชียงใหม่- ลำพูน ที่มีการติดเชื้อน้อย ก็สามารถทำให้มาตีกอล์ฟ และทำซีลรูทเชื่อมไปยัง อ.แม่ริม ดอนเต่า แม่แตง ซึ่งก็ต้องไปหารือผู้ว่าเชียงใหม่และลำพูนต่อไป
นอกจากนี้สิ่งที่เราต้องมองคือ การกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงไตรมาส4 ปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ที่จะขยายผลจากภูเก็ตที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเปิดภูเก็ตแค่ 13 วันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 5,174 คน
เทียบกับในปีที่ผ่านที่ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยผ่านวีซ่า STV อยู่ที่ 1 หมื่นคน ดังนั้นทำอย่างไรจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ผมจะหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาขยายพื้นที่ซีลรูตจากภูเก็ต ไปยังเกาะสมุย เกาะพีพี เขาหลัก
โดยอาจจะอยู่ที่ภูเก็ต 7 วันแล้วอีก 7 วันไปต่อเที่ยวเกาะพีพี เขาหลัก และสมุยได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทางเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากการไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ก็ไปเล่นกอล์ฟในพื้นที่ 4 จังหวัดนี้ได้โดยทำเป็นเส้นทางซีลรู้ทให้มาตีกอล์ฟ ซึ่งเราอยากจะให้เริ่มได้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้
เพราะการเปิดเกาะสมุย “สมุยพลัส” ด้วยข้อจำกัดของเที่ยวบิน และการที่ต้องกักตัวในโรงแรมก่อน 3 วัน เรารู้อยู่แล้วจำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่ได้มากมายเหมือนภูเก็ต ที่มีเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศได้มากกว่า ผมคิดว่าในช่วง 3 เดือนสมุยน่าจะมีนักท่องเที่ยวราว 2.5 หมื่นคนคิดเป็น 25% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าภูเก็ต
แต่ถ้าเราทำซีลรูต ให้ต่างชาติที่มาเที่ยวภูเก็ตแล้ว 7 วัน บินต่อมาเที่ยวสมุยได้ โดยใช้จุดขายทะเลใต้ โดยเฉพาะเกาะเต่า เกาะพะงัน ที่เป็นแหล่งดำน้ำที่สำคัญ ก็จะกระตุ้นให้คนเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตเพิ่มขึ้น ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ 1 แสนคนในช่วง 3 เดือนนี้ (ก.ค.-ก.ย.นี้)
ส่วนการเดินทางเที่ยวในประเทศ เดิมตั้งเป้าจะเริ่มโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทยในเดือนส.ค.นี้ แต่ในภาวะเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ ก็จะมีหารือกับททท.ว่าเป็นไปได้ไหมหากจะเริ่มในเดือนก.ย.แต่เปิดให้เที่ยวได้เฉพาะพื้นที่สีเขียว สีเหลือง สีส้ม
การแพร่ระบาดที่รุนแรงในระลอกใหม่นี้ จะต้องปรับลดเป้าหมายเที่ยวในประเทศ ส่วนเป้าตลาดต่างชาติมาเที่ยวไทยในปีนี้
เรายังคงเป้าหมายไว้ที่ 3-4 ล้านคนอยู่ที่ต้องพยายามวิ่งหาเป้านี้อยู่ แต่จะได้หรือไม่ขึ้นกับประเทศต้นทางด้วยว่าจะยอมให้มีการเดินทางออกนอกประเทศแค่ไหนด้วยนั่นเอง
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,697 วันที่ 18 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564