อย่าปล่อยส.ส.รุมทึ้งงบ
เงินกู้4แสนล้านนะลุงตู่!
พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมรัฐสภาไป กำลังกลายเป็นจุดสนใจของประชาชน
เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่เป็นตัวแทนประชาชนออกมาแฉกันเองว่า งบในส่วนการเยียวยาความเดือดร้อนประชาชนนั้นไม่มีใครติดใจ แต่งบส่วนที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาท สำหรับการจัดทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานรากนั้น กำลังกลายเป็น “เค้กก้อนโต” ให้บรรดา ส.ส.รุมทึ้ง
ถึงขนาดที่มีการระบุในที่ประชุมรัฐสภาอันศักดิ์สิทธิ์ว่า มีการแบ่งเค้กจัดงบให้กับบรรดา ส.ส.เป็นรายหัว ไปจัดทำโครงการมาแบ่งกันคนละ 80 ล้านบาท
แม้นายหัวชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะบอกว่า ที่มีการระบุว่า ส.ส.จะได้รับงบประมาณเพื่อทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ของตนเองคนละ 80 ล้านบาท ตามการอภิปรายในสภานั้น ไม่เคยทราบว่ามีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้น และรัฐธรรมนูญปี 2560 มีการบัญญัติใน ม.144 ว่าการที่ ส.ส.จะผันงบลงพื้นที่ตนเองทำไม่ได้ ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมาย แต่ผมเชื่อของผมจากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า ไม่มีมูล หมาไม่ขี้!
ผมนำจำนวนส.ส.ที่เป็นตัวแทนประชาชนในระบอบรัฐสภาที่มีอยู่ 487 คน หลังจากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ไปมาคำนวณเท่ากับว่าจะต้องจัดสรรเงินไปให้ส.ส.รายหัวตกประมาณ 14,000 ล้านบาท ...ทำแบบนี้ก็หวานคอแร้งสิขอรับ
อันว่า เงินกู้ 4 แสนล้านบาทก้อนนี้ ที่จะนำมาแก้ปัญหาประเทศ มิได้มาโดยไม่มีต้นทุนนะครับ
เพราะรัฐบาลลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปกู้ยืมเขามา หากคิดดอกเบี้ยอิงกันกับพันธบัตรออกมทรัพย์เราไม่ทิ้งกันที่เฉลี่ย 2.4% เท่ากับว่า รัฐบาลมีต้นทุนจ่ายดอกเบี้ย 9,600 ล้านบาท ในแต่ละปี ถ้าระยะเวลาการกู้ยืมเงินมาใช้ยาวนานถึง 10 ปี หมายถึงว่า เงินต้น 4 แสนล้านบาท จะต้องจ่ายดอกเบี้ย 96,000 ล้านบาท
แต่ผมว่า เงินกู้ก้อนนี้กว่าจะชำระหมดยาวนานเป็น 20 ปีแน่ๆ แล้วเราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยกันไม่น้อยกว่า 1.8 แสนล้านบาท
ถ้าหากรัฐบาลลุงตู่ มีการปล่อยปละละเลยให้บรรดา ส.ส.มารุมทึ้งงบก้อนนี้กันแบบที่ส.ส.อภิปราย ประเทศไทยจะเหลือแต่ซากแน่นอน...แต่บรรดานักการเมืองจะ “รับประทานเนื้อกันสนุกสนานบานฤทัย”
ความจริงแล้วเงินกู้ก้อนนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้กำหนดแนวทางการเสนอโครงการไว้แล้ว 4 รูปแบบ
1.การลงุทนและกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
2.การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งจะเป็นส่วนที่มีการใช้จ่ายงบประมาณมากที่สุดเกินกว่า 50%
3.ส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน
4.สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนกระบวนการผลิต
นี่เป็นแนวทางในการตั้งเรื่องขอใช้งบประมาณก้อนนี้ แต่เชื่อหรือไม่ ขณะนี้มีการตั้งโครงการเสนองบกันโดยบรรดานักเลือกตั้งกันยุบยับเกลื่อนไปหมด
แว่วว่าระดับรัฐมนตรี ระดับแกนนำพรรคสั่งการไปให้ส.ส.ลงไปประสานกับทางจังหวัดและพื้นที่เพื่อจัดทำโครงการของแต่ละคนให้สอดรับกับโจทย์ “สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชน”
เพราะเงินกู้ส่วนนี้จะเน้นใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
เน้นสร้างความเข้มแข็งเพื่ออนาคตของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของเกษตรและอาหาร ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
เน้นให้ความสำคัญในระดับเศรษฐกิจฐานราก ที่แรงงานส่วนหนึ่งที่ต้องกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม จึงต้องมีการสร้างงานรองรับ ใช้เงินกู้นี้สร้างเศรษกิจในระดับชุมชน เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจเพื่อชุมชน เพื่อสังคม หรือสหกรณ์
จะเชื่อผม หรือไม่เชื่อผมก็แล้วแต่ท่านนะครับ แต่ผมทราบมาว่า พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค รวมถึงพรรคแกนนำรัฐบาลนี่แหละ “กวักมือโบก ยกมือเรียก” บรรดาส.ส.ในพรรค มาเสนอโครงการกันฝุ่นตลบในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา
ฝุ่นตลบขนาดว่า หัวหน้าก้วน หัวหน้ามุ้ง บางคน ที่เป็น “ขาใหญ่”ยอมจ่ายเงินค่าหัวให้บรรดา ส.ส.ไปคนละ 2-4 ล้านบาท แลกกับการคว้าโควต้าโครงการนี้ ไปอยู่ในมือตัวเองเสียด้วยซ้ำไป ...ลองว่าทำกันแบบนี้ต้องมีหัวคิวก้อนโตแน่นอน
แม้งบก้อนนี้ทางกระทรวงการคลังจะปันไปใช้ 1.55 แสนล้านบาท เพื่อจัดตั้งกองทุนดูแลผู้ประกอบการคนตัวเล็ก เพื่อรักษาการจ้างงานไม่เกิน 1 แสนล้านบาท จัดทำโครงการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและชุมชน สร้างศูนย์การเรียนรู้-มีกินมีใช้ 1,200 แห่ง ใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านธุรกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชน 1.6 หมื่นกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 1 ล้านบาท
ใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจฐานราก สร้างหัวขบวนด้านการตลาด บริการทางการเกษตรและท่องเที่ยวชุมชน
ใช้เงินผ่านทางกลุ่มสถาบันเกษตรกรกว่า 7,200 แห่ง สหกรณ์การเกษตร 1,000 แห่ง วิสาหกิจชุมชน 6,000 แห่ง ให้สถาบันละไม่เกิน 3 ล้านบาท รวม 2.1 หมื่นล้านบาท
แต่กระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ นั้น มีการเตรียมการกันอย่างคึกคัก ข้อมูลที่ระบุว่า มีการเปิดทางให้ส่วนราชการเสนอโครงการเข้ามายังคณะกรรมการกลั่นกรองที่มี สภาพัฒน์กำกับดูแลอยู่ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2563 จากนั้นคณะกรรมการฯ จะรวบรวมพิจารณาและเสนอต่อ ครม. ต่อไป
และมีการคาดว่า ประมาณต้นเดือนก.ค.นี้ เงินงบประมาณจะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
เร็วไม่เร็ว ใช้นิ้วนับเอาได้ครับ...แล้วโครงการอะไรละที่ทำเร็วขนาดนั้น ถ้าไม่มีการจัดเตรียมการล่วงหน้า
นายกฯ ลุงตู่-คุณอุตตม สาวนายน รมว.คลัง คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ขอรับ อย่าให้ใครหน้าไหนมางาบเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ไปเข้าพกเข้าห่อตัวเองและพวกพ้องนะครับ ...ประชาชนเขากำลังจะอดตาย อย่าให้ส.ส.รวยบนซากปรักหักพังของประเทศเลยครับ!