รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า แก้ปัญหาให้ได้ต้องอยู่ที่การยอมรับก่อน 11/4/64
1.ยอมรับว่ามีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้ มีอยู่มาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน
2.ผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้ตัวที่มีปริมาณเข้มข้นขึ้นเหล่านี้ เมื่อเข้าไปในสถานบริการ ที่เปรียบเสมือนเป็น “หม้อเพาะเชื้อ” ยกตัวอย่างใน 100 คน ในสถานบริการที่ไม่มีวินัยใดๆทั้งสิ้น มีผู้ที่แพร่เชื้ออยู่ได้ในนั้น สี่ถึงห้าคน ไม่ใช่คนเดียว ประสิทธิภาพในการแพร่จะยิ่งเก่งเป็นทวีคูณ และเหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันนี้ สถานบันเทิงเป็นแค่ “หม้อเพาะเขื้อ” ให้เพิ่มปริมาณและกระจายไปทุกพื้นที่ในประเทศไทย
3.เชื้อไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดั้งเดิม เป็นกลุ่มใหม่ ไม่ว่าในทางทฤษฎีจะแพร่กว่าเร็วหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือ “การหยุด”การแพร่เชื้อให้ได้โดยเร็วที่สุด
4.การหยุดการแพร่เชื้อในส่วนที่ทางการต้องทำคือการตรวจคัดกรอง ที่สมาร์ท คำว่าคัดกรองคือหลุดไม่ได้เป้าหมายคือแม้แต่คนเดียวก็ตามและคำว่า สมาร์ท คือต้องมีความสะดวก เข้าถึงราคาถูกประหยัด ง่าย รู้ผลเร็ว
5.ต้องยอมรับว่าการแยงจมูกกระทำได้ด้วยความยากลำบาก ทั้งคนปฏิบัติหน้างาน และในห้อง แลป ต้องมีเจ้าหน้าที่ประกบกันอย่างน้อยสองถึงสี่คนขึ้นไป แต่กว่าจะทราบผลขึ้นอยู่กับจำนวนตัวอย่าง ความสามารถของห้องปฏิบัติการ ของคนทำ ของเครื่องมือ ของน้ำยา และความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นและความเร็ว จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ เครื่องอัตโนมัติทำได้วันละ 1000 ตัวอย่างดีแต่ถ้าน้ำยาไม่ส่งเครื่องหยุดทำงานระบบสายพานจะสะดุดทันที
6.การแยงจมูก “ครั้งเดียว “ไม่ยืนยันว่าคนนั้นไม่ได้ติดเชื้อ เพราะเชื้อในขณะที่ตรวจ อาจไม่พบได้ ถามตัวเองว่า ทำไมคนที่มาจากต่างประเทศจึงต้องกักตัว 14 วันและต้องแยงจมูก สามครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจ และขณะนี้ ทำไมถ้าแยงครั้งเดียว บอกว่าไม่ติด และที่ผ่านมาจะหลุดไปเพียงใด
7.ยอมรับว่าเราต้องการให้คนไทยได้วัคซีนให้มากที่สุดและกรณีของ โควิด-19 ไม่ใช่เพียง 60 ถึง 70% เท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมทั้งประเทศเพราะวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมดแต่เมื่อติดเชื้อแล้วไม่ตายและโอกาสปล่อยเชื้อออกมาจากตัวจะสั้นลงและปริมาณน้อยลง เท่ากับเราสู้กับ ศัตรูโควิด ได้เท่าเทียมกันแล้ว
8.นั่นเป็นเหตุผลว่าถ้าวัคซีนยังฉีดได้ไม่เร็วพอ ไม่ครบ และถึงแม้ครบคนไทยเกือบทุกคนแล้วก็ตาม ยังคงต้องมีวินัยส่วนตนและรักษาระยะห่างอยู่เหมือนเดิมจนกว่าจะพิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยสะอาดโดยที่ “ต้อง” มีการตรวจคัดกรอง อยู่ตลอดเวลาในทุกพื้นที่
9.ทำไมต้องมี การตรวจตราคัดกรองตลอดเวลา นั่นคือแคร์คนติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ก็ต้องกลับไปดูที่ข้อหนึ่งและข้อสอง ไม่เช่นนั้นก็จะวนเวียนซ้ำซากอยู่ และประการสำคัญก็คือการปล่อยให้มีการแพร่ออกไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเปิดโอกาสให้เชื้อโควิดมีการปรับตัว หลบหลีกการตรวจหาเชื้อ และแน่นอนประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงอย่างมากมาย
10.จบที่ยอมรับ ปรับใจ ปรับตัวเพื่อการแก้ไขร่วมมือกันที่ถูกต้อง การแก้ไขไม่ใช่แก้ไขเฉพาะหน้าแต่ต้อง ดูมูลเหตุ กระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :