นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด-19 พร้อมตอบคำถามคาใจประชาชนวานนี้ (13 เม.ย.) ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทุกคนจะต้องได้รับ การรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบันมีเตียงเพียงพอที่จะรองรับ ในขณะนี้คร่าวๆทั่วประเทศ คือ 30,000 เตียง (ทั้งเตียงในรพ.ภาครัฐและเอกชน ,เตียงรพ.สนามและเตียงรพ.ดัดแปลงจากโรงแรม หรือ hospitel) กรณีที่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีเตียงรพ.และมีข้อสงสัยประการใด สามารถโทรไปที่เบอร์สายด่วน 1330 ,1668 หรือ 1669 ก็จะมีเจ้าหน้าที่รับข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของผู้ติดเชื้อ แล้วจะส่งรถไปรับ “ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า ผู้ติดเชื้อต้องอยู่ที่รพ.เท่านั้น”
ติดเชื้ออาการน้อยหรือไม่มีอาการ รักษาตัวเองที่บ้านได้หรือไม่
ส่วนกรณีที่มีเน็ตไอดอลที่มีการติดเชื้อโควิดแบบมีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการซึ่งยังอยู่ที่บ้านแล้วออกมาเชิญชวนประชาชนคนอื่น ๆที่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการว่า สามารถอยู่ที่บ้านได้เหมือนกับในหลาย ๆประเทศที่ทำกัน พร้อมแนะนำการปฏิบัติตัวว่า สามารถรักษาตัวเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลนั้น นพ.โอภาสกล่าวว่า ไม่ควรทำเช่นนั้น เพราะการที่สธ.แนะนำให้ผู้ติดเชื้อโควิดทุกคนมารักษาตัวที่รพ. ก็เพราะมีเหตุผลสำคัญ 2 ประการด้วยกัน คือ
“ดังนั้น เมื่อประเทศไทยเรามีเตียงเพียงพอ มียาเพียงพอ มีบุคลากรที่จะดูแลอย่างเพียงพอ ไม่เหมือนกับในหลายประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากจนระบบโรงพยาบาลของเขาดูแลไม่ไหว เขาถึงให้ผู้ติดเชื้อไปดูแลตัวเองที่บ้าน จึงขอแนะนำว่า ถ้าใครติดเชื้อแล้วยังหารพ.ไม่ได้ ให้โทรไปยังเบอร์สายด่วนดังที่กล่าวมาแล้ว ไม่ควรอยู่ที่บ้านอย่างเด็ดขาด ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่ได้พูดถึงประเด็นทางกฎหมาย ที่ในกรณีของผู้ที่เป็นโรคติดต่ออันตราย หากเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สั่งให้ท่านมาเข้ารับการรักษา แล้วท่านไม่มารักษา ก็จะมีความผิดตามกฎหมายนะครับ เพราะฉะนั้น ท่านที่เชิญชวนให้คนอื่นติดเชื้อแล้วอยู่ที่บ้าน ก็ขอให้หยุดการกระทำนั้นโดยเด็ดขาด” อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว
ไม่อยากอยู่รพ.สนาม ขอไปหาเตียงรพ.เอกชนในตจว.ได้ไหม
กรณีที่ทางรัฐหาเตียงให้ได้แล้ว แต่เป็นเตียงฮอสพิเท็ล (hospitel) หรือเป็นเตียงรพ.สนาม ถ้าผู้ป่วยไม่ประสงค์จะไปอยู่ที่ฮอสพิเท็ลหรือรพ.สนาม อยากจะไปอยู่ในรพ.เอกชนที่อยู่ในจังหวัดอื่นที่ยังมีเตียงว่างอยู่ (ตัวอย่างนี้เป็นกรณีผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้ออยู่ในเขตกทม.) กรณีแบบนี้จะสามารถทำได้หรือไม่
อธิบดีกรมควบคุมโรคตอบว่า ด้วยเหตุผลที่โควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ทางสธ.จึงไม่อยากให้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามจังหวัดเพราะจะทำให้อีกจังหวัดหนึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และการบริหารทรัพยากรในแต่ละจังหวัดอาจจะไม่เหมือนกัน โดยจังหวัดเล็ก ๆ อาจจะมีเตียงว่าง แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อคนหนึ่งเข้าไปแล้วเกิดการแพร่กระจายเชื้อออกไป อาจจะทำให้จังหวัดนั้นประสบความยากลำบากในการควบคุมโรค
ดังนั้น ในขณะนี้ ถ้าผู้ป่วยอยู่ที่จังหวัดไหน เช่น อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ก็ขอให้อยู่ที่จังหวัดนั้น ไม่ควรมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามจังหวัดโดยไม่จำเป็น ขณะนี้สธ.ยังไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามจังหวัด แต่หากมีความจำเป็นจริง ๆก็จะมีการพิจารณาเป็นราย ๆไป
ตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ แปลว่าวางใจได้แล้วใช่ไหม ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
สำหรับกรณีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ใน กลุ่มผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง แล้วตรวจหาโควิด-19 ในครั้งแรกไม่พบเชื้อ ควรจะมีการปฏิบัติตัวอย่างไรในช่วงที่มีการกักตัว เป็นไปได้ไหม หากมีการตรวจในครั้งที่สองหรือครั้งที่สามแล้วอาจจะมีการพบเชื้อโควิดในภายหลัง เนื่องจากเท่าที่ผ่านมา เคยมีข่าวกรณีของผู้ที่ตรวจครั้งแรกแล้วไม่พบเชื้อ ก็อาจมีการประมาทในการใช้ชีวิต มีการเดินทางไปในที่ต่าง ๆตามปกติ เพราะคิดว่าตัวเองตรวจไม่พบเชื้อแล้ว ต่อมาเพิ่งจะมาพบเชื้อเมื่อมีการตรวจครั้งที่สอง
กรณีดังกล่าวนี้ นพ.โอภาส อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ผู้สัมผัสแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งกลุ่มหลังเป็นผู้มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ มีการพูดคุยกัน 5 นาทีโดยไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยทั้งคู่ มีการไอจามใส่กัน(ซึ่งกรณีไอจามใส่กันถือว่าเสี่ยงสูงมาก) หรือว่าอยู่ในห้องเดียวกันนานกว่า 15 นาทีโดยเป็นสถานที่อากาศไม่ถ่ายเทและไม่มีการใส่หน้ากากอนามัย อย่างนี้ถือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง สิ่งที่คนกลุ่มนี้ควรจะต้องดำเนินการก็คือ
“การตรวจครั้งแรกไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่ติดเชื้อนะครับ เพราะเราจะต้องติดตามท่านจนครบระยะกักตัว 14 วัน แล้วระยะฟักตัวของโรคส่วนใหญ่จะเป็นในวันหลัง ๆ จากประสบการณ์และสิ่งที่เราดำเนินการก็คือ เมื่อผลตรวจหาเชื้อครั้งแรกเป็นลบ ไม่ได้แปลว่าท่านปลอดภัย เราจึงขอให้ท่านกักตัวอยู่กับบ้าน ใส่หน้ากากอนามัยให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ควรจะไปอยู่ในที่ชุมชน หรือไปพบปะคนอื่นเด็ดขาด หลังจากนั้น 7 วัน (หลังจากที่ตรวจครั้งแรก 7 วัน) ก็ควรจะมีการตรวจครั้งที่สองต่อไป เพราะฉะนั้น แต่ละวันที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะทำให้โอกาสจะพบเชื้อเพิ่มมากขึ้น" นายแพทย์โอภาสกล่าว และว่า
โดยสรุปคือ ให้ท่านไปตรวจครั้งแรกทันทีที่ทราบว่าตัวเองเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หลังจากนั้น 7 วันให้ไปตรวจแล็บครั้งที่สอง และถ้าหลังจากนั้นมีข้อสงสัยก็ให้ไปตรวจอีกเป็นราย ๆ ไป ยกตัวอย่างบางรายตรวจแล้วถึงสองครั้งผลเป็นลบ แต่ต่อมามีอาการ ก็ต้องไปตรวจเพิ่มเติม
กรณีผู้ที่อยากไปตรวจ แต่ไม่รู้ว่าจะไปตรวจที่ไหนดี มีคำแนะนำว่า ถ้าเป็นผู้มีอาการหรือมีประวัติเสี่ยง ให้ไปรับการตรวจที่สถานพยาบาล โดยเฉพาะของรัฐ ที่มีทั่วประเทศ สามารถรับการตรวจได้ฟรีกรณีเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนกรณีอื่น ๆถ้าหากมีข้อสงสัยก็สามารถไปปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านท่านทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนก็ปรึกษาได้ แต่บางกรณีอาจจะมีปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
องค์การเภสัชฯ สำรองยา “ฟาวิพิราเวียร์” รับการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
“ผู้ประกันตน”พื้นที่สีแดง 6 จังหวัดเสี่ยงโควิดรัฐจัดตรวจหาเชื้อให้ฟรี
นายกฯ อนุมัติส่วนราชการ Work from Home
เพจหมอตี๋ สาธิต ปิตุเตชะ โพสต์เตรียมความพร้อมก่อนไปโรงพยาบาลสนาม
สธ.วอนประชาชนเชื่อมั่นต่อวัคซีนโควิดในไทย ย้ำมีประสิทธิภาพสูง
สธ.ยันมีเตียง “เพียงพอ” รองรับผู้ป่วยโควิด