รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความว่า
บรรลุวัตถุประสงค์แล้วสำหรับประเด็นร้อน เรื่อง (บน) เตียง ที่โยนสู่สาธารณะ หากทำให้เกิดความขัดข้องหมองใจของคนที่เกี่ยวข้องที่ทำงานหนักอยู่แล้วก็ขออภัย หากทำให้คนหน้างานที่หลังแอ่นกันอยู่ขณะนี้ก็แสนจะดีใจ หากทำให้คนที่มีอำนาจกำหนดทิศทางการรับมือวิกฤตโควิดระลอกหนักนี้ได้นำไปไตร่ตรองใล้บ้างก็จะดีใจเป็นที่ยิ่ง แต่สำหรับพวกมาแจมโดยใช้คำพูดสร้างความจงเกลียดจงชัง (hate speech) ขอร้องช่วยไปไกลๆ และถ้ามีหลุดเข้ามาก็ขอให้ช่วยกันปล่อยวางอย่าไปโต้ตอบ ผมไม่เชื่อว่าใครที่ทำเช่นนี้จะคิดหรือทำเพื่อส่วนรวมจริงจังอะไรนักตามที่พวกเขาพร่ำบ่น
กลไกการรับมือวิกฤตโควิดทางการแพทย์แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ฝ่ายนโยบาย คือ รัฐบาล (ข้าราชการการเมืองทางตรงและทางลัด) และ ข้าราชการประจำ ส่วนฝ่ายปฏิบัติการ คือ ข้าราชการประจำ (เช่น สังกัดกระทรวงสาธารณสุขหรือกลาโหม กทม.) ข้าราชการกึ่งประจำ (เช่น ผมเองที่เป็นพนักงานของรัฐ สังกัดกระทรวงอุดมศึกษา) และ สังกัดอื่นๆ รวมทั้งภาคเอกขน
ธรรมชาติฝ่ายปฏิบัติการจะทำงานหนักและปิดทองหลังพระเหมือนที่พ่อหลวงสอนเราไว้ ส่วนฝ่านโยบายที่ทำงานหน้าพระเป็นคนตัดสินทิศทาง และมีหน้าที่ทำให้ประชาชนที่เป็นทั้งคนดูและคนรับผลได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้นข้อมูลเรื่องเตียงดูแลผู้ป่วยโควิดที่ตรงกับความเป็นจริงจึงมีความสำคัญในการกำหนดนโยบาย ถ้าเรายังสื่อสู่สาธารณะว่าเอาอยู่เพราะยังมีเยอะ ด้านหนึ่งจะทำให้พวกประชาชนนอกแถวยังไม่สำนึก แต่ด้านที่สำคัญคือทำให้ฝ่ายนโยบายไม่สำนึกเพื่อเร่งควบคุมปัญหาไม่ให้บานปลาย
เชื่อว่าตัวเลขเตียงว่างที่แจ้งเมื่อวานเป็นเรื่องจริงแต่ไม่ทั้งหมด ผมเสนอให้ต่อไปควรแบ่งเป็นสองส่วนก่อนคือ เตียงที่พร้อมใช้งานในช่วง 3 วัน (มีสถานที่ มีบุคลากร และมีอุปกรณ์) และที่จะพร้อมใน 4-7 วัน (กำลังจัดเตรียม ถ้าพร้อมเมื่อไรก็เปลี่ยนสถานะไปเป็นส่วนแรก) ส่วนเตียงในอนาคตกว่านี้หรือเตียงทิพย์ยังไม่ควรนับและไม่ควรนำมาแถลง โดยในแต่ละส่วนให้แบ่งย่อยไปอีกว่าเป็นเตียงไอซียูโควิด เตียงโควิดในโรงพยาบาลหลัก หรือเตียงโควิดใน hospitel หรือโรงพยาบาลสนาม เพราะจะทำให้เห็นความชัดเจนในการเตรียมรับมือกับปัญหาได้ตรงจุด ส่วนระบบการแจ้งเตียงก็ต้องทำให้มีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระมากกับคนหน้างานตามโรงพยาบาลทุกประเภท
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย 11 รายวันนี้ โดยเป็นไปตามคาดว่าต้องเป็นเลขสองหลัก และอาจคงเป็นเช่นนี้ไปอีกพักหนึ่งเพราะยังมีผู้ป่วยหนักอีก 500+ คน ซึ่ง 130+ ใส่เครื่องช่วยหายใจ (กลุ่มนี้มีอัตราเสียชีวิตราว 25-50% ขึ้นกับต้นทุนสุขภาพของผู้ป่วยและศักยภาพของโรงพยาบาล) พวกเราอาจดีใจไปกับอัตราตายระลอกสองที่ 0.1+% และเฉลี่ยสองระลอกที่ 0.3% แต่ระลอกนี้ผ่าน 0.17% ไปแล้ว
และน่าจะไปต่อจนเกิน 0.3% แต่เราอาจช่วยไม่ให้สูงมากได้ ด้วยการลดจำนวนผู้ป่วยใหม่และรักษาผู้ป่วยตกค้างให้ทันท่วงที แต่กว่าจะเห็นผลก็ไม่น้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ พร้อมพยายามใช้เตียงโควิดไอซียูที่มีอยู่ตอนนี้ให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบการเกลี่ยศักยภาพและการช่วยเหลือกันระหว่างโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ (ในกทม. ต้องแบ่งโซน) การเพิ่มเตียงไอซียูโควิดเฉพาะหน้านี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะภาคการแพทย์ได้เบ่งศักยภาพมาเกือบเต็มที่แล้วและมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ซึ่งจะสาธยายต่อไป
วันนี้ผมไปตรวจเยี่ยมส่วนหนึ่งของทีมโควิดศิริราชในฐานะเป็นอาจารย์รับผิดชอบ ส่วนแรกดูแลผู้ป่วยอาการปานกลางจนถึงรุนแรงน้อย 18 เตียง ผลัดหนึ่งใช้แพทย์ 2-3 คน พยาบาล 8-10 คน สายสนับสนุน 2 คน (นอกเวลาราชการ/กลางคืนลดเท่าที่จำเป็น) และส่วนที่สองดูแลผู้ป่วยอาการรุนแรงมากจนถึงวิกฤต 7 เตียง ผลัดหนึ่งใช้แพทย์ 3-4 คน พยาบาล 10-12 คน สายสนับสนุน 2 คน ทั้งสองส่วนถ้าผู้ป่วยอาการหนักขึ้นจะต้องเรียกกำลังพลมาเสริมกว่านี้อีก พวกเขาต้องทำงาน nine to five หรืออย่างน้อยวันละ 8 ชม. ต่อเนื่องกันมากว่าสองสัปดาห์และคงจะต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ สำหรับโรงพยาบาลระดับรองหรือโรงพยาบาลในภูมิภาค ด้วยปริมาณงานเท่ากันนี้เขาใช้คนน้อยกว่าที่ผมใช้อีก คิดดูมันจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน
ได้เวลาที่ทุกฝ่ายจะวางข้อขัดข้องใจต่างๆ ไว้เบื้องหลัง เราจะจับมือกันเดินไปข้างหน้าเพื่อหาทางรอดของประเทศชาติ
#ประเทศไทยต้องไปรอด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :