รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า
สายพันธุ์ อย่างเดียว กำหนดความน่ากลัว...หรือไม่?
ความน่ากลัว ประกอบไปด้วยติดง่าย แพร่ง่าย ดื้อต่อวัตซีน หรือมีอาการหนักถึงเสียชีวิตมากขึ้น และอาการในคนติดเชื้อที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไปรวมกระทั่งถึงกระทบการตรวจสอบหาเชื้อทำให้มีความแม่นยำน้อยลง
ข้อมูลต่างๆที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปของรหัสพันธุกรรมโครงสร้างของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ และมีการทำนายล่วงหน้าถึงผลกระทบดังกล่าวและการทดสอบในหลอดทดลองของน้ำเหลืองของคนที่ได้รับวัคซีนชนิดต่างๆ ต่อเชื้อ และข้อมูลการระบาดในพื้นที่ประเทศต่างๆ ด้วยเชื้อนั้นๆ เป็นการควบรวมเพื่อนำข้อมูลที่ได้นั้น ให้มาใช้ในการเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่อาจจะเลวร้ายที่สุด
เราคงไม่สามารถตอบได้เป็น ขาวหรือดำได้ทันที แต่ถ้าจะรอให้เห็นว่าสายพันธุ์นั้นเป็นดำ ก็คือหมายความว่าเกิดความหายนะขึ้นแล้ว
อนึ่ง ทีมแพทย์ของTel Aviv University และClalitของอิสราเอล พบว่าวัคซีนของ Pfizer/BioNTechไม่สามารถที่จะป้องกันไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ได้อย่างเต็มที่
โดยที่ แทนที่จะพบได้ 1 คน ตามปกติในคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน กลับพบการติดเชื้อได้ 8 คน ที่ติดเชื้อสายพันธ์แอฟริกัน
อนึ่งอิสราเอลเป็นประเทศที่มีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนในสัดส่วนที่มากที่สุดในโลก
(ข่าวจาก https://www.timesofisrael.com/real-world-israeli-data.../...
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้่านี้ หมอธีระวัฒน์ ได้ให้ข้อมูลว่า ในสิงคโปร์ พบสายอินเดียในชุมชนเองแล้ว และที่ติดสายอินเดียเป็นคนได้วัคซีน ไฟเซอร์ (Pfizer) ,โมเดอร์นา (Moderna) ครบ2 แล้ว โควิด-19 (Covid-19) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาจนกลายเป็นที่เรียกว่าสายพันธุ์ ที่ต้องจับตามองด้วยความกังวลสูง ( variant of high global concern ) ไปจนถึงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง (high consequence)ล้วนแล้วแต่เกิดจากการระบาดที่รุนแรงแรงกว้างขวางจนเกิดการวิวัฒน์ ให้มีความเก่งกาจขึ้น (gain of function) ตั้งแต่ สายอังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล ฟิลิปปินส์และจนอินเดีย ที่ถูกจัดจากองค์การอมามัยโลก (WHO) ให้ทั่วโลกจับตา และในอีกไม่ช้าไม่นาน ถ้าสถานการณ์คุมไม่ได้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็จะเกิดมีสายใหม่เกิดขึ้นอีก
ขณะที่น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลไว้ว่า น่ากังวล !! อิสราเอลพบผู้ฉีดวัคซีน Pfizer ยังติดโควิดสายพันธุ์อินเดียได้รวดเดียว 4 รายจากการที่ประเทศอิสราเอล เป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลก ในการที่สามารถจัดหาวัคซีนและเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ซึ่งมีจำนวนพลเมืองทั้งสิ้น 9.19 ล้านคนได้สำเร็จ จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ กล่าวคือ สามารถฉีดวัคซีนให้กับ คนอิสราเอลครบสองเข็มได้ 5.41 ล้านคน คิดเป็น 58.7% และฉีดวัคซีน รวมนับคนที่ได้เข็มเดียวด้วย ได้มากถึง 62.4%ทำให้สถานการณ์ของประเทศอิสราเอล ซึ่งใช้วิธีผ่อนหนักผ่อนเบามาโดยตลอด เพื่อหล่อเลี้ยงให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้แลกกับการที่ระบบสาธารณสุขต้องรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมาก จนประเทศอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับที่ 29 ของโลกคือ ติดเชื้อ 838,407 คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของจำนวนพลเมือง และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 6362 คนเมื่อมีวัคซีนเกิดขึ้น
ทางการอิสราเอลจึงต้องจัดซื้อจัดหาโดยเร่งด่วน โดยยอมรับเงื่อนไขสองประการคือ
1.จัดซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตลาดค่อนข้างมาก
2.ต้องยอมรับเงื่อนไขของบริษัทไฟเซอร์ ในการทำการวิจัยทดลองขนาดใหญ่กับคนอิสราเอล อันหมายรวมถึงการทดลองฉีดในเด็กอายุห้าขวบขึ้นไปด้วยหลังจากที่ทางการอิสราเอลสบายใจมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากการเร่งระดมฉีดวัคซีนจำนวนมาก ถึงขั้นมีการประกาศให้ผู้ที่อยู่นอกบ้าน สามารถถอดหน้ากากได้นั้น ดูเหมือนความดีใจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว เพราะเมื่อวานนี้ (29 เมษายน 2564) กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลได้รายงานการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617) จำนวน 41 ราย เป็นคนต่างชาติ 21 รายคนอิสราเอลที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 3 รายในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีเด็กมากถึง 5 ราย แต่ที่สร้างความวิตกกังวลให้กับรัฐบาลอิสราเอลมากก็คือ ในรายที่ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียดังกล่าว มีอยู่ถึง 4 รายด้วยกัน ที่ได้ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์แล้วประเด็นดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะทางการอิสราเอลคาดหวังว่า เมื่อฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ครบสองเข็ม จนได้ภูมิต้านทานหมู่แล้ว น่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ดีตามปกติ ทั้งการทำมาหากิน การผ่อนคลายวิถีชีวิต และการท่องเที่ยว การนำเข้าส่งออก แต่แล้วก็มาพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดีย ซึ่งถ้าทำให้ติดเชื้อเฉพาะคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าสามารถฝ่าด่านคนที่ฉีดวัคซีนมาแล้ว ทำให้ติดเชื้อได้ ก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวการแถลงดังกล่าวเกิดขึ้น
ในวันเดียวกับที่ผู้บริหารของบริษัทไบโอเอ็นเทค(BioNTech) ซึ่งร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ (PfizerBioNTech) กล่าวถึงความมั่นใจว่า วัคซีนของไฟเซอร์จะสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียได้ เพียงแต่ขอรอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อน แต่ในวันนี้ (30เมษายน2564)ห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ทางการอิสราเอลก็รายงานว่า วัคซีนที่ฉีดให้สี่คนนั้น ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียไปแล้ว และยังมีข่าวเพิ่มเติมอีกว่าทางการเวียดนาม ก็ตรวจพบผู้ติดไวรัสสายพันธุ์อินเดียอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :