รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความว่า
27 มิ.ย.
ที่ทำงานหนักก็หนักกันต่อไปยังมองไม่เห็นฝั่งแม้มีคนยื่นขอนไม้มาให้แล้ว เมื่อคืนจนถึงเช้านี้การหาเตียงสำหรับผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจในกทม.คึกคักมาก และต้องขอความช่วยเหลือส่งไปต่างจังหวัดสักพักแล้ว ส่วนการเพิ่มเตียงไอซียูโควิดที่กำลังพยายามกัน (ส่วนตัวไม่เห็นด้วย) แม้จะทำพอได้มาบ้างแต่คงไม่สามารถขุดมาใช้ได้ในเร็ววัน วันนี้ยอดผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจในประเทศจะเป็นนิวไฮที่ 485 รายหรือเปล่าไม่รู้ โดยอยู่ในกทม.-สมุทรปราการ-นนทบุรี-ปทุมธานี 330 (68%) และกทม.โดดๆ 225 (46%)
ผมคงเช่นเดียวกับคนหมู่มาก ที่อยากจะเห็นหน้าตาของมาตรการที่ขอเรียกว่า “ล็อคดาวน์แบบจำกัดขอบเขต” ฉบับเต็ม (มีแพลมมาแล้วพอควร) ว่าจะออกมาแล้วร้องว้าวหรือร้องยี้ จะโดนใจหรือจะเสียดแทงใจ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์ฝ่ายบริหารและฝ่ายความมั่นคงนักเพราะชนักมันมีอยู่ ตัวดีแสนสำคัญที่กำหนดคือ “สายสัมพันธ์”หรือ “การเกี้ยเซี้ย” ที่อาจทำให้ผู้มีอำนาจในการบังคับใช้และกวดขันให้เป็นไปตามมาตรการทำได้ไม่สมบูรณ์ตามที่รับปาก อย่างไรก็ตามเมื่อให้อำนาจเขาตัดสินใจแล้ว ภาคการแพทย์และภาคประชาชนคงได้แต่ต้องช่วยกันจับตามอง
ดัชนี้ชี้วัดที่น่าจะควบคุมตัวแปรอื่นๆ ออกไปได้เกือบหมด และมองเห็นผลได้เร็ว คือ จำนวนผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจในกทม. (นับรวมหากมีการขนย้ายไปรักษาในจังหวัดใกล้เคียงตามนโนบายหน่วยงานที่ว่าเตียงในกทม.ยังมีพอ) อีกทั้งดัชนีนี้จะเป็นเครื่องตอกย้ำความสะเทือนใจทั้งของฝั่งผู้ป่วยและญาติ และฝั่งของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้ให้การดูแลรักษา เนื่องจากดัชนีนี้จะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตราวครึ่งหนึ่งในอีกสิบวันหลังจากนั้น
ผมเชื่อว่าขณะนี้สายพันธุ์เดลต้าแพร่กระจายไปมากในกทม.แล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปอดอักเสบเร็วและดูรุนแรงกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่เดิม ขณะนี้มียอดผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจในกทม. 225 คน หากมาตรการที่กำหนดร่วมกันมานี้ใช้ได้ผล จะต้องเห็นตัวเลขนี้ลดลงให้เหลือไม่เกินครึ่งหนึ่งคือ 123 คนใน 28 วันข้างหน้า นั่นคือต้องไม่เกินสามในสี่คือ 169 คนในอีก 14 วันข้างหน้า การที่กำหนดตัวเลข 123 คนไว้เป็นเป้าหมายสุดท้าย เนื่องจากอยากเห็นไอซียูโควิดในกทม.กลับไปใช้งานเท่าจุดสูงสุดของระลอกแรกคือไม่เกิน 200 เตียง (ครึ่งหนึ่งจะใช้เครื่องช่วยหายใจ อีกครึ่งหนึ่งใช้ไฮโฟลว์หรืออุปกรณ์พยุงชีวิตอื่น) เพื่อที่จะได้หวังให้ลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งในอีกหนึ่งรอบ 28 วันถัดไป ถ้าเป็นดังนี้บุคลากรทางการแพทย์จะไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปและทนไม่ไหว ผู้ป่วยโควิดก็จะได้รับการดูแลตามมาตรฐาน ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่โควิดจะได้กลับมารับการดูแลรักษาตามมาตรฐานวิถีใหม่ที่ควรจะเป็น
ยังมีข้อแม้อีกเล็กน้อย คือ การตรวจค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ต้องระดมทำเต็มความสามารถ เพื่อเร่งควบคุมโรคในภาพรวม อย่าให้เป็นแบบที่ผ่านมาในบางพื้นที่ คือตรวจน้อยเท่ากับติดน้อย ผู้ใหญ่จะได้ไม่กังวล แต่ทำแบบนั้นมันจะติดแน่นและติดนาน จนคนโรงพยาบาลจะรับไม่ไหวแล้วผู้ใหญ่ก็จะต้องกังวลไปอีกแบบหนึ่งที่อาจน่ากลัวกว่า อย่างไรก็ตามถึงจะตรวจน้อย คนที่ติดแล้วไม่ได้ตรวจหรือรอตรวจหรือรอเตียง ถ้าอาการทรุดลงก็จะตรวจจับได้เมื่อต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ
สมกับถ่างตาหลับๆ ตื่นๆ รอดูทีมรัก เมื่อคู่แข่งจากลุ่มน้ำดานู้บดันผีเข้าเล่นดีผิดตา จึงเกือบเสียศูนย์ และก็เสียศูนย์ (clean sheet) ไปจริงด้วยจากลูกโหม่งอันสุดสวย แต่ลูกยิงของสาวกมักกะโรนีในรูปก็งามงดไม่ขี้เหล่กว่ากัน เส้นทางต่อไปในรอบควอเตอร์ไฟแนล เซมิไฟแนล และไฟแนล คงไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เหมือนที่ทีมโควิดวิกฤตในกทม.จะต้องร่วมกันฝ่าฟัน และช่วงเวลาประเมินผลแชมป์คงใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ 14 วันดังกล่าวไปแล้วข้างต้น
#ปฐมบทศึกโควิดระลอกสี่ #จับตาตัวชี้วัดล็อคดาวน์ #อิตาลีแชมป์ยูโร2020
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รบวบรวมตัวเลขของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) ที่กำลังรักษาตัวอยู่ วันที่ 26 มิถุนายน 2564 จากศูนย์ข้อมูล COVID-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีจำนวน 41,907 ราย โดยอยู่ในโรงพยาบาล 15,620 ราย และอยู่ในโรงพยาบาลสนาม 26,287 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยอาการหนัก 1,662 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ 470 ราย
ส่วนตัวเลขการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทย วันที่ 28 ก.พ.-25 มิ.ย.64 พบว่า มีจำนวนสะสมอยู่ที่ 8,981,478 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 6,435,308 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 2,546,170 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :