รุมทึ้ง "เงินกู้" ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยอดทะลุ 8.4 แสนล้าน

ความคืบหน้าการขอใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 พ.ศ. 2563 หรือ พรก.กู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของในแผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 400,000 ล้านบาท ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดให้หน่วยงานต่างๆยื่นคำขอให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการใช้เงินกู้พิจารณา

ล่าสุด ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2563 มีการยื่นคำขอใช้เงินกู้ทั้งสิ้น 34,263 โครงการ วงเงิน 841,269 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.แผนงานหรือโครงการลงทุนและกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพ และยกระดับการค้า การผลิต และการบริการในสาขาเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ โดยครอบคลุมภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน ท่องเที่ยวและบริการ มีคำขอใช้เงินกู้จำนวน 164 โครงการ วงเงิน 284,302 ล้านบาท

2. แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน ผ่านการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยการส่งเสริมตลาดสําหรับผลผลิต และผลิตภัณฑ์ของธุรกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน การจัดหาปัจจัยการผลิตและสิ่งอํานวยความสะดวกที่จําเป็นสําหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้ง การสร้างการเข้าถึงช่องทางการตลาด พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพ และมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน คำขอใช้เงินกู้ จำนวน 33,798 โครงการ วงเงิน 465,023 ล้านบาท

3.แผนงานหรือโครงการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน รวมถึงการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชนเพื่อให้สภาวะ การบริโภคและการลงทุนกลับเข้าสู่ระดับปกติได้โดยเร็ว ยังไม่มีคำขอใช้เงินกู้

4.แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านการดําเนินโครงการหรือ กิจกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป มีคำขอใช้เงินกู้ 301 โครงการ วงเงิน 91,942 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามโครงการต่างๆที่เสนอเข้ามานั้นเป็นคำขอเบื้องต้น ต้องรอให้ณะกรรมการกลั่นกรองโครงการใช้เงินกู้พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท พิจารณาก่อน

ที่มา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ