ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับบัตรเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยตลอดจนรายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครืออย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากปัจจัหลายประการไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โรคโควิด 19) ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยและค่าใช้จ่ายโฆษณา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
AQUA ตั้ง ‘ฉาย บุนนาค’ นั่งรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ นำทัพสื่อนอกบ้าน
AQUA โชว์กำไร ไตรมาสแรกเกือบ 65 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้สื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2563 จนกระทั่งถึงปลายปี 2564
จากรายงานของ บริษัท เดอะ นีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด และ ข้อมูลลูการใชจ่ายในธุรกิจสื่อออนไลน์จากสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือDigital Advertising Association (Thailand) (DAAT) พบว่าในปี 2562 งบโฆษณารวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเติบโต 1.3% หรือคิดเป็น 6.9 พันล้านบาท ในขณะที่งบโฆษณาของสื่อโดยรวมเติบโต 2.3% หรืออยู่ที่ระดับ 1.24 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม งบโฆษณารวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2563 ปรับตัวลดลง 11.5% มาอยู่ที่ระดับ 3 พนัล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามทิศทางงบโฆษณาที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่มีการปิดพื้นที่เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในขณะที่บโฆษณาโดยรวมลดลง 13.2% มาอยู่ที่ระดับ5.1 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกัน ทริสเรทติ้ง คาดว่างบโฆษณาโดยรวมจะลดลง 15%-17% ในปี 2563 โดยที่โรคระบาดยังคงทำให้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมและความต้องการใชสื่อโฆษณาชะลอตัวและทำให้เกิดการยกเลิกและตัดงบโฆษณาลง ทั้งนี้คาดว่างบโฆษณาโดยรวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยจะลดลงประมาณ 25% ในปี 2563 แต่มีแนวโน้มที่จะเร่งฟื้นตัวตาอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วง ปลายปี 2564
เป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยขนาดกลาง
ในระหว่างปี 2558-2562 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 8%-12% เมื่อพิจารณาจากยอดขาย นอกจากนี้บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศไทยดอ้วยแม้ว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งทาการตลาดเป็นอันดับที่ 3 แต่ส่วนแบ่งทางการตลาด ของบริษัทก็ยังถือว่าค่อนข้างเล็กและก็ห่างไกลจากส่วนแบ่งของ บริษัท แพลน บีมีเดีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างมาก โดยบริษัท แพลน บีมีเดีย ที่มีส่วนแบ่งทาง การตลาดในปี 2562 ประมาณ 34% ทงั้น้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการ ตลาดในปัจจุบันเอาไว้ได้ในปีถัดๆ ไป
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดมีเสถียรภาพ
บริษัทมีรายได้ประจำจากพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากการ ลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 40% ใน บริษัท อสอรน์ พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิตองค์กรระดับ “BBB-/Stable” จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ครบวงจรรวมถึงดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์และธุรกิจพลังงาน
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพ ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพ ทริสเทรติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดประจำจาสัญญาเช่าระยะยาวในธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทั้งหมดประมาณ 300-360 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 โดยรายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโต 1%-3% ต่อปีตามอัตราการปรับค่าเช่าในสัญญา อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าน่าจะยังอยู 85%-92% ในระหว่างปี 2563-2565 ทั้งนี้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่ค่อนข้างมั่นคงที่บริษัทมีกบัหน่วยงานสาธารณูปโภคของรัฐและผู้ซื้อไฟฟ้าเอกชนหลาย ๆ ราย ทริสเรทติ้งประมาณ การว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจาการลงทุนในบริษัทจะไดร้บัส่วนแบ่งกำไรจากการลอสีเทอรน์ พาวเวอร์ กรุ๊ป ประมาณปีละ 155-200 ล้านบาทในระหว่างปี 2563-2565 ผลการดำเนินงานยังคงเป็นที่ยอมรับได้อัตรกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.8% ในปี 2562 จากระดับ 61.9% ในปี 2561 ทั้งนี้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรดังกล่าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 52%-68% ในระหว่างปี 2563-2565 ภายใต้สมมติฐานว่าสภาวะเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวส่วนอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายส่วนอัตรากำไรก่อน หักภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในธุรกิจสื่อโฆษณานั้นคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับ 43%-66% ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี เสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 73% ในระหว่าง ปี 2563-2565