นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ฐานะทางการคลังรัฐบาลยังพอไปได้แม้มีความเสี่ยงเรื่องฐานะการคลังเพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มอีก 2.14 แสนล้านเพื่อเสริมสภาพคล่อง ต้องถือว่า รัฐบาลไม่ได้อยู่ในภาวะถังแตก แต่ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการประมาณสถานการณ์เศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เก็บภาษีพลาดเป้าค่อนข้างมากและค่าใชจ่ายภาครัฐในการบรรเทาผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชนมากเกินคาด
ทั้งนี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองซึ่งมีมาตรการปิดเมืองและการแพร่ระบาดของโรค “โควิด-19” (Covid-19) ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท การกู้เงินเพิ่มเพียง 2.14 แสนล้านนั้นจะไม่เพียงพอต่อการบริหารประเทศและการบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป การแก้ไขวิกฤตการณ์และฟื้นฟูเศรษฐกิจและการจ้างงาน ขอเสนอให้กู้เพิ่มไว้เลยอีกอย่างน้อย 3-5 แสนล้านบาทในช่วงปลายปี รัฐบาลสามารถกู้เงินในประเทศเพิ่มเติมได้
การก่อหนี้สาธารณะเพื่อดูแลเศรษฐกิจและการจ้างงานมีความจำเป็น แต่ต้องชะลอการจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศทั้งหมด 100% นำงบมาพัฒนากำลังพลและจัดสรรงบให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศแทนเพื่อทดแทนการนำเข้าและมุ่งให้เกิดการจ้างงานในประเทศ การก่อหนี้เพิ่มต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลต้องยกเลิกหรือชะลอหรือปรับลด โครงการและการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนทั้งหมดก่อน
รวมทั้งไม่ควรเลื่อนการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีกแล้ว เนื่องจากประเทศไทยมีรายได้จากฐานภาษีทรัพย์สินต่ำมากๆ และควรพิจารณาจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน เช่น การจัดเก็บภาษีเพิ่มค่าของทรัพย์สินอันเป็นผลจากการลงทุนของรัฐ (Betterment Tax) การจัดเก็บภาษีการเพิ่มค่า (Betterment Tax) เช่น ตอนซื้อทรัพย์สินมาในราคา 1 ล้านบาท ตอนขายไปราคาขึ้นไป 10 ล้านบาท อันเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็น ถนน การขนส่งมวลชนระบบราง หรือ มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ (เช่น สนามบิน ศูนย์ราชการ) ก็ต้องเก็บภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้าเพื่อนำเงินภาษีมาใช้พัฒนาประเทศต่อไป ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ควรต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนหรือธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่มาก่อนก่อนที่โครงการที่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียง มลพิษทางกลิ่นจะมาจัดตั้ง นอกจากมี Betterment Tax แล้วก็ควรมี Worsening Subsidy ซึ่งอาจใช้เป็น ภาษี Betterment Tax ในอัตราติดลบได้
ส่วนการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในลักษณะเป็นแบบภาษีลาภลอย หรือ Windfall Tax ตามรายละเอียดที่กระทรวงการคลังศึกษาอยู่นั้นจะซ้ำซ้อนกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและเป็นการเก็บภาษีแบบหยุมหยิม รวมทั้ง รัฐบาลจะเก็บภาษีไม่ค่อยได้ มีต้นทุนและยุ่งยากในการดำเนินการ หากรัฐบาลเดินหน้าเก็บภาษีลาภลอยจะมีสภาพเดียวกับการจัดเก็บภาษีมรดก คือ จัดเก็บแทบจะไม่ได้เลย เป็นเพียงการแสดงว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้วแต่ไม่มีประสิทธิผล
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า การลดการรั่วไหลและลดการใช้จ่ายไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เน้นการกระจายอำนาจทางการคลังเพื่อแก้ปัญหาในระดับพื้นที่ดีขึ้น ประสบการณ์ของประเทศจีนยืนยันชัดเจนว่า การกระจายอำนาจทางการคลังทำให้การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการพัฒนาพื้นที่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ประเทศจีนมีการกระจายอำนาจทางการคลังสูงกว่าสมาชิกกลุ่มประเทศ OECD บางประเทศ องค์กรปกครองท้องถิ่นของจีนมีรายรับและรายจ่ายทางการคลังสูงถึง 40% และ 73% ตามลำดับ ตรงกันข้ามกับไทยโดยเฉพาะในสมัย คสช รวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางและล่วงเลยมา 5-6 ปีก็ยังไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นแต่อย่างใด การเป็นรัฐรวมศูนย์ทำให้การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมีความล่าช้า
“ทางการต้องปล่อยให้เงินบาทอ่อนค่าเพื่อกระตุ้นภาคส่งออกและสินค้าเกษตร สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากในขณะนี้ในการช่วยพลิกฟื้นและก่อให้เกิดการขยายตัวของตลาดแรงงาน กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น”
นายอนุสรณ์ ยังได้กล่าวถึงปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างมากในระบบธนาคารด้วยว่า ระบบธนาคารไทยยังแข็งแกร่งด้วยเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 19.2% ส่วนปัญหาหนี้เสียในที่พุ่งขึ้นเป็นผลจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในภาคเศรษฐกิจจริงที่ต้องช่วยกันไม่ให้เกิดการลุกลามสู่ภาคการเงิน
สำหรับความกังวลที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจแตะระดับ 60% ในปีหน้านั้น ยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวลเฉพาะหน้า ณ. เวลานี้แต่ต้องระมัดระวังไม่ประมาทเรื่องความเสี่ยงของวิกฤติฐานะการคลังในอนาคต สิ่งที่ต้องเอาใจใส่เวลานี้ คือ การลงทุนภาครัฐต้องนำมาสู่การขยายตัวของการจ้างงานในตลาดแรงงาน และ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยเงินกู้มากกว่าที่รัฐบาลกู้อยู่เวลานี้ ตอนนี้ต้องทบทวนแนวคิดบริหารเศรษฐกิจแบบ Supply-side Economics ไปก่อน เพราะในระยะสั้น เรากำลังเผชิญสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเดินโซซัดโซเซจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจสู่วิกฤตการณ์ภาคการเงิน วิกฤตการณ์การคลัง และ วิกฤติทางสังคมและการเมืองได้ ความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างอุปสงค์ให้เพียงพอเพื่อจะใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่เกินจำนวนมากกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ เมื่อใช้สารพัดมาตรการแล้ว "เอสเอ็มอี" (SMEs) และ ภาคธุรกิจเอกชนก็ยังไม่ฟื้นและยังคงล้มละลายต่อเนื่อง
การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมภายใต้การสนับสนุนของรัฐ และ การจัดตั้งบรรษัททำหน้าที่ในการเพิ่มทุนกับภาคธนาคารและภาคธุรกิจการผลิตอาจมีความจำเป็น เงินทุนที่นำมาจัดตั้งบรรษัทเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจนี้อาจต้องออกพันธบัตรรัฐบาล 20-50 ปีมาใช้จ่าย