26 ส.ค. 63 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวในเสวนา “หุ้นเด็ดโค้งท้ายปี” จัดโดยหนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าหุ้นไทยในช่วงที่เหลือยังมีดาวน์ไซด์จากเสถียรภาพของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)จากปัจจัยเสี่ยง ผลกระทบของเศรษฐกิจและไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง ประเมินดัชนี SET ยังมีโอกาสลงแตะ 1270 - 1280 จุด และอัพไซด์ที่ระดับ 1400 จุด ในขณะที่ EPS ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 58 บาทต่อหุ้น ( EPS ปี 62 ที่ระดับ 87บาท ) และปี 64 ที่ 76 บาท
"ตอนนี้ ดัชนีหุ้นแทบไม่มีความหมาย ให้ดูเป็นเซ็กเตอร์และรายตัว ผลประกอบการบจ.ยังไม่เสถียร จะเห็นว่ากำไรบจ.ในไตรมาส 2/63 บางตัวลดลงมาแรงถึง 80% แต่บางตัวที่เป็นธุรกิจ Defensive ลดลงแค่ 20% และมองในภาพรวมยังให้น้ำหนัก "ลง" เพราะเซ็กเตอร์หลักๆยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และโควิด แม้การล็อกดาวน์รอบสองจะไม่แรงเท่ารอบแรก แต่การใช้จ่ายในประเทศยังไม่กลับไปเหมือนเดิม ตัวเลขเศรษฐกิจหรือผลประกอบการ ยังฟื้นตัวเป็น U - shape "
ดังนั้นดัชนีจึงโอกาสดาวน์ไซด์ต่ำกว่า 1300 จุด และอัพไซด์ระดับ 1400 จุด ตัวช่วยยังเป็นเรื่องสภาพคล่อง ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยในรอบนี้ปรับขึ้นมาเร็ว เพราะมีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ การลดดอกเบี้ย และการอัดฉีดเม็ดเงิน
อย่างไรก็ดีจากการประชุมเฟดที่ผ่านมา เริ่มส่งสัญญาณว่าจะหยุดการผ่อนคลาย ทำให้อัพไซด์ที่จะขึ้นจากมาตรการทางการเงินเริ่มมีข้อจำกัด ทั้งจากผลประกอบการของบจ. รวมถึงความล่าช้าของการใช้มาตรการการคลัง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายสุกิจ แนะกลยุทธ์การลงทุนให้ซื้อเข้าพอร์ตในระดับดัชนี 1300 จุด ในสัดส่วน 75% แต่หากดัชนีปรับขึ้น 1400 จุด ให้ลดพอร์ต์เหลือ 50% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด รองรับไตรมาส 4/63 ที่อาจเกิดความผันผวนได้
จังหวะที่เข้าเก็งกำไร คือในช่วงเดือนตุลาคม รับข่าวดีจากความสำเร็จการผลิต"วัคซีนโควิด" ทั่วโลก แต่หลังเดือนตุลาคมถึงช่วงปีใหม่ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมือง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึง
การลงทุนให้เลือกเป็นรายเซ็กเตอร์รายหุ้นที่มีสัญญาณการฟื้นตัว เป็นหุ้นที่ปลอดภัย Defensive เน้น Domestic play ราคายังไม่แพงมาก และไม่เพียงให้น้ำหนักเรื่องผลประกอบการ ยังต้องดูในเรื่องนโยบายการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เพราะรายจ่ายที่ลดก็คือ "กำไร" ที่กลับเข้ามานั่นเอง โดยผลประกอบการไตรมาส 2 พบว่าค่าใช้จ่ายลดลงถึง 20% พอ ๆกับรายได้ คาดว่าในไตรมาส 3-4 จะเห็นหลายบริษัทปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อผลประกอบการบจ.ในช่วงที่เหลือ
"ช่วงเดือนตุลาคม จะเป็นเวลาที่เหมาะต่อการเก็งกำไรในหุ้น รับข่าวเรื่องของวัคซีนโควิด แต่หลังจากนั้นตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเรื่อง การเมือง การเลือกตั้งในสหรัฐที่เป็นตัวกดดันตลาด " กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ย้ำ
5 หุ้นเด่นที่แนะนำได้แก่
1. เซ็กเตอร์อาหาร เลือกหุ้นบมจ.จีเอฟพีที ( GFPT) จากราคาไก่ที่มีแนวโน้มแพงขึ้น บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตที่จะเข้ามาเป็นปีหน้า และกำไรอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยส่วนนี้มากนัก
2. ธุรกิจโรงพยาบาล เลือกหุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ผลประกอบการบริษัท ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 มาแล้ว และมีฐานลูกค้าไทย-ประกันสังคมมาก รวมทั้งลูกค้าในกลุ่ม CLMV
3. บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ( BEM ) จากการปลดล็อกเรื่อง Social distancing การฟื้นตัวของรายได้ในช่วงที่เหลือของปี
4. หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงค่อนข้างแรง เลือก บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เป็นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโต ราคาอยู่ในระดับน่าสนใจ
5.หุ้นตัวเล็ก เลือกหุ้นบมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE ) ทำธุรกิจโลจิติกส์ครบวงจร ( ทางเรือ ,ทางอากาศ และทางบก ) และทำธุรกิจในจีนซึ่งไม่มีผลกระทบด้านโควิดขณะที่เศรษฐกิจจีนยังเติบโต นอกจากนี้ผลประกอบการ 2 ไตรมาสแรกของบริษัทก็เพิ่มขึ้น