นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ชัดเจนแล้วว่า นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ ทำให้นักลงทุนมองว่าการออกกฎหมายเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนิติบุคคลอาจจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวอาจจะไม่สามารถผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาที่ครองเสียงส่วนใหญ่โดยพรรครีพับลิกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นรับข่าวทันที
นอกจากนี้ ในระยะยาวยังมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ ที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้แก่ จุดแข็งด้านรายได้และกำไร ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอัตราสูง แม้จะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม และการได้รับประโยชน์จากมาตรการ Lockdown เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของประเทศต่างๆ ด้วย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในวิถีชีวิตประจำวันมากกว่าสถานการณ์ในช่วงปกติ
“นับตั้งแต่การ Lockdown ในรอบแรก จนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเลย คือ กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้คลาวด์ (Cloud Service) เห็นได้จากยอดขายและผลกำไรของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินไปในอนาคต คาดว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก ดังนั้น ธุรกิจเหล่านี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นเมกะเทรนด์ แตกต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่เห็นได้ชัดอย่างจากผลกระทบของการ Lockdown อย่างอุตสาหกรรมสายการบิน และ ท่องเที่ยว”
สำหรับผลประกอบการของบริษัทชั้นนำของหุ้นกลุ่มนี้ เช่น บริษัท Amazon ที่มีธุรกิจทั้ง E-commerce และCloud Service มีรายได้ไตรมาส 3 อยู่ที่ 96,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ยังได้คาดการณ์ว่า ยอดขายของ Amazon ในไตรมาส 4 จะอยู่ที่ประมาณ 112,000 – 121,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 28-38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นอีคอมเมิร์ซอย่าง กองทุน Amplify Online Retail ETF (iBUY:US) ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจอย่างมาก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 96%
สำหรับมุมมองการลงทุนในช่วงนี้ มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นที่เป็นกลุ่มเมกะเทรนด์ เพราะประเมินว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังคงได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แต่ละประเทศเริ่มกลับมา Lockdown อีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคมทำให้การดำรงชีวิตยังคงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การสั่งซื้อสินค้าและอาหารผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นนี้อย่างเห็นได้ชัด คือ ‘หุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซ’
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซยังมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากการจัดโปรโมชันลดราคาสินค้าวันที่ 11 เดือน11 ที่เป็นกิจกรรมวันคนโสด หรือเทศกาลลดราคา Black Friday และ Cyber Monday ในวันที่ 27 และ 30 พฤศจิกายนนี้ ประเด็นดังกล่าวยิ่งช่วยหนุนธุรกิจกลุ่มอีคอมเมิร์ซในไตรมาส 4 ปี 2563 มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และในอนาคตก็ยังมีโอกาสเติบโตสูงตามจำนวนผู้ใช้งานที่ยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับยอดค้าปลีกทั่วไป
“แม้ว่าปัจจุบันมูลค่ายอดการซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและมีผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนกว่า 3,000 ล้านคน แต่หากเทียบกับยอดค้าปลีก(Retail Sales) ของโลก ก็พบว่าการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซก็ยังมีส่วนแบ่งไม่ถึง 20% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด แสดงว่าการเติบโตของกลุ่มนี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และจากการกระตุ้นของระบบ AI ที่จะชักชวนให้ผู้ใช้บริการกลับมาซื้อสินค้าอยู่เรื่อยๆ”