นายกสิณพจน์ เตชาหัวสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท คริปโตมายด์ จำกัด เปิดเผยว่าสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้หลายคนมองเห็นว่าหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติิครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และคริปโตเคอเรนซีที่คนมองว่าเป็นเทค สตาร์ทอัพ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลคริปโตเคอเรนซีจะเป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์ที่มีการเติบโตสูง ปัจจุบันขนาดตลาด (Market Size) ของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ 95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ตลาดทอง 10.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ SET 5.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ตลาดคริปโตเคอเรนซี อยู่ที่ 6.66 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นจึงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ตลาดทองหรือตลาดหุ้นจะถูกแปรสภาพให้เป็นคริปโตเคอเรนซีได้เช่นกัน
ทั้งนี้เหตุผลที่คริปโตเคอเรนซีเติบโต อย่างแรก คือ เรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หลายประเทศทั่วโลกมีการพิมพ์เงินออกมาเพื่อนำมาใช้ในการเยียวยารักษาโรค ทำให้นักลงทุนมองว่ามูลค่าของเงินนั้นจะลดลง จึงต้องการนำเงินไปวางไว้กับสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าเงินหรือทำให้เพิ่มขึ้นได้ กอปรกับบิทคอยน์ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่มีบริษัทหรืออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังเข้ามาให้ความเห็น ซึ่งเปลี่ยนมุมมองจากในตอนแรกและสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น
นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ประเทศ ไทยมีคนพูดถึงคริปโตเคอเรนซีมากขึ้น คือ SCB 10x ที่ลงทุนกับ สตาร์ทอัพด้านคริปโต อาทิ Alpha Finance อีกทั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา SET และ KTBG ได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อทำ Digital Asset Ecosystem ซึ่งเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล จะเห็นว่าในปี 2563 เป็นปีแรกที่ได้เห็น Mass Marketing จาก bitkub ที่มีการลงโฆษณาตามบิลบอร์ดต่างๆ เพื่อเข้าสู่ตลาดแมส รวมถึงการพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (Central Bank Digital Currency) ภายใต้ชื่อ “อินทนนท์” โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเมื่อยุคสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตเคอเรนซี มาถึงจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายสินทรัพย์ที่อยู่ในประเทศอื่นๆ ได้แบบไร้พรมแดน
“สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการรับรองโดยโดยธนาคารแห่งประเทศนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสกุลเงินหลัก แต่บิทคอยน์หรือสกุลเงินคริปโตอื่นจะขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มที่ใช้หรือในชุมชนนั้นๆ ที่อาจมีสกุลเงินที่ได้รับความนิยมแตกต่างกัน แต่จะไม่กลายมาเป็นสกุลเงินหลักอย่างแน่นอน”
ด้านนายสัญชัย ปอปลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คริปโตมายด์ จำกัด ที่ปรึกษาสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยมีคนเปิดบัญชีประมาณ 2-3 ล้านคนโดยมี Active Trader ประมาณ 10% หรือราว 2-3 แสนคน ตลาดคริปโตเคอเรนซีมีนักลงทุนเปิดบัญชีประมาณ 1.6 แสนคน โดยคอมมูนิตี้มีผู้ที่แอคทีฟอยู่ราว 5,000 -10,000 คน แสดงให้เห็นว่าตลาดนี้ยังเล็กมากหรือคิดเป็นเพียง 5% ของผู้ที่เปิดบัญชีในตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดอื่นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่มีการเติบโตมีแต่ลดลง แต่ตลาดคริปโตเคอเรนซียังมีจำนวนผู้เปิดบัญชีเพิ่มขึ้น ปัจจุบันต่างประเทศก็มีการอนุญาตให้ซื้อขายหุ้นผ่านคริปโตเคอเรนซีได้แล้ว ซึ่งโลกในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงกันระหว่างตลาดหุ้นและตลาดทุนทั่วไป ทั้งนี้ตลาดประเทศไทยมีไลเซนส์ออกมาชัดเจนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อสร้างมาตรฐานในอุตสาหกรรมซึ่งการเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดจะต้องมีการจดทะเบียนหรือมีเงินทุนสำรองมากพอมีกฎเกณฑ์ตามตลาดทุน ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนไทย
“การมีกฎหมายเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งเรื่องของนวัตกรรมไปเร็วมาก ขณะที่กฎหมายยังตามไม่ทัน เราจึงต้องมีการสร้างสมดุลกันระหว่างกฎหมายและนวัตกรรมโดยให้ผู้เล่นรายเล็กในอุตสาหกรรม สามารถเกิดได้” นายสัญชัย กล่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,642 หน้า 16 วันที่ 7 - 9 มกราคม 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง