“จักรไพศาล เอสเตท” เคาะราคาไอพีโอ 1.45 บาท

05 ม.ค. 2564 | 07:35 น.

“จักรไพศาล เอสเตท” กำหนดราคาไอพีโอที่หุ้นละ 1.45 บาท พร้อมระดมทุน 120 ล้านบาท หวังต่อยอดธุรกิจและใช้หมุนเวียนขยายกิจการ คาดเทรดวันแรก 18 มกราคม 2564

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด(มหาชน) (JAK) เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ JAK ที่ราคาหุ้นละ 1.45 บาท โดยจะเสนอขายหุ้นจำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ1.00 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 8, 11 และ 12 มกราคม 2564 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) ในวันที่18 มกราคม 2564 

 

“เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JAK ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยราคาไอพีโอที่กำหนดไว้เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท โดยมีจุดแข็ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงานทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 - 2562) เฉลี่ยสูงถึง 50% ต่อปี (CAGR) สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยอยู่ที่30%” 

นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ JAK กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 120 ล้านบาท จะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ /การเข้าลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา นำไปชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 2564 นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัท ทั้งต่อสถาบันการเงินคู่ค้าธุรกิจ รวมทั้งลูกค้า

 

อย่างไรก็ตาม มีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,422 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เฟิร์น เฟสที่ 2 มูลค่าโครงการ 413 ล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮม ตั้งอยู่ที่ทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์) จ.ชลบุรี  โครงการ Canna มูลค่าโครงการ 422 ล้านบาท พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ ทาวเฮ้าส์ และบ้านแฝดชั้นเดียว ตั้งอยู่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี (โรงโป๊ะ) และโครงการ Peony & Pine (รังสิต) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพเพราะที่ดินติดรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีปลายทางบางพูน มูลค่าโครงการรวม 587 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม สูงไม่เกิน 8 ชั้น  โดยทั้ง 3 โครงการ คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จ จะเริ่มส่งมอบและทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นต้นไป