ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ราคา บิตคอยน์ ขึ้นเร็วมาก จนหลายคนมองว่าเร็วๆนี้ก็จะต้องปรับฐาน เหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีตเช่นปี 2017-2018 ในมุมมองของผม Cycle นี้ของบิตคอยน์ ยังไม่จบ และจะสามารถทำ New High ได้อีก!
การที่บิตคอยน์ทำราคาสูงสุดใหม่หลายครั้งนั้น ตลาดกำลังส่งสัญญาณว่า ความสำคัญของเหล่าวาฬ (Big Whale)เริ่มลดบทบาทลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันผู้เล่นรายใหญ่และหน้าใหม่ ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบัน(Hedge Funds, Asset Management, Corporates )เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงไตรมาส 4 ของปี 2020 เป็นต้นมา
มีเหตุผลสำคัญอยู่ 3 ข้อ ที่ทำให้ บิตคอยน์ ขึ้นแล้วจะไม่ลงไปตํ่ากว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหมือนช่วงปี 2018- ก่อนไตรมาส 4 ปี 2020 ก็คือ
1.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนมาก เพราะสหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED)และนโยบายการคลังที่ผ่านสภาคองเกรสแบบมโหฬาร สังเกตว่า เงินดอลลาร์นั้นอ่อนค่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ บิตคอยน์ ทองคำ หรือแม้แต่ราคาทองแดง และเงินไทยบาท และโดยเฉพาะนโยบายของ Joe Biden คือผลิตเงินขึ้นมาอีกสามล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น หลายๆ ประเทศก็ใช้วิธีนี้เช่นเดียวกันในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งนั่นทำให้หลายๆ บริษัทและนักลงทุนต้องหาทางลดสภาพคล่องด้วยการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็บเงินสด
นอกจากนี้ ว่าที่ประธานก.ล.ต ของสหรัฐอเมริกา Gary Genlers ของรัฐบาล Biden นั้นเรียกว่า ถึงขั้นเป็นฝ่ายสนับสนุนบิตคอยน์ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาสงสัยในระบบการเงินแบบเดิมและได้แสดงความเชื่อมั่นในบิตคอยน์
2. บิตคอยน์ คือ สินทรัพย์คงคลังตัวใหม่ บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะ Reserve Asset มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดถ้าเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น Micro Strategy ซื้อ บิตคอยน์ ไปถึง 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ช่วงราคาประมาณ $21,925 Mass Mutual ซื้อ ทั้งบิตคอยน์ และหุ้นส่วนของ NYDIC ซึ่งเป็นบริษัทการเงินที่เน้นการลงทุนในบิตคอยน์ เป็นเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงการลงทุนในบิตคอยน์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาของเจ้าของ Hedge Fund ขนาดหลายพันล้านเหรียญ ที่มีชื่อเสียง เช่น Paul Tudor Jones, Ruffer Investment Hedge Fund ลงทุนในบิตคอยน์ไป 745 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ One River Asset Management เข้าซื้อบิตคอยน์ไป 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งใจจะซื้ออีกจนครบ 1,000 ล้านเหรียญฯ
3.สินทรัพย์ดิจิทัล จะเริ่มมีช่องทางการเข้าถึงที่แพร่หลายสู่ผู้ใช้ทั่วโลกมากขึ้นผ่าน Paypal ที่มีทั้ง 20 ล้านร้านค้าและสมาชิกผู้ใช้ทั่วโลกประจำอยู่ 346 ล้านสมาชิก รวมไปถึงความร่วมมือของ Visa และ USDC ซึ่งจะทำให้ร้านค้าจำนวน 60 ล้าน ร้านค้าทั่วโลกเข้าถึงการใช้เงินคริปโตได้
ตลาดร้อนแรง ความเสี่ยงสูง นักลงทุนต้องบริหารเงินให้เป็น
ช่วงเดือนสิงหาคม หลังจากที่ Grayscle Bitcoin Trust ซึ่งเป็นกองทุน คริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าตลาด Supply ของ Bitcoin หายไปจากตลาดในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงมากและเร็วมากเช่นกัน ขณะนี้ Grayscale ถือบิตคอยน์มากกว่า 600,000 BTC หรือมากกว่า 3% ของบิตคอยน์ในตลาดโลกอยู่ในมือ Grayscale ซึ่งนั่นแปลว่า บิตคอยน์จะขึ้นหรือลงในตลาดตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนเงินเยอะในการดันหรือทุบราคา ถ้าวาฬจะทุบเพื่อ Shake Out จากรายย่อยก็ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือจะลากให้ราคาขึ้น เพื่อให้รายย่อยเข้าตามก็ไม่ต้องใช้เงินมากเช่นกัน
จะเห็นว่า ราคาบิตคอยน์ผันผวนแรงจาก 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาเหลือ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาไม่ถึงเดือน ฉะนั้นเงินที่จะนำมาลงทุนในคริปโต ผมแนะนำว่า ควรเป็นเงินเย็น เป็นเงินที่ยอมรับได้ถ้าเกิดการสูญเสีย เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินที่ไปกู้มาผมก็ยังยืนยันว่าไม่ควรเสี่ยงเด็ดขาด ต่อให้รู้ว่า ตลาดมันขึ้นก็ตาม
ดังนั้นนักลงทุนมือใหม่ ควรศึกษาหาความรู้ ให้เข้าใจ เทรดแบบมองข้อมูลเชิงพื้นฐานและศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญคือต้องใช้สติและวิจารณญาณในการลงทุนและจะซื้อขายให้ปลอดภัยต้องผ่านเว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพยืดิจิทัลจากสำนักงานก.ล.ต.
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,646 วันที่ 21 - 23 มกราคม พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กระแส blue wave เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
ธนาคารพาณิชย์ กับบทบาทการเป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace