นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด โดยปัจจัยลบดังกล่าวได้กดดันให้ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ติดลบประมาณ 5.24% เนื่องจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าวค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกัน กองทุนหุ้นไทยของ บลจ.ทิสโก้หลายกองทุน กลับยังคงสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวก สวนทางกับตลาดโดยรวมได้
“ในภาวะปกติผู้ลงทุนจะแยกได้ยากว่า ผู้จัดการกองทุนไหนเก่งหรือไม่เก่ง เพราะไม่ว่าจะลงทุนกองทุนใดก็ดีไปหมด แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active Fund) จะโดดเด่นขึ้นมา เพราะผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนและใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งกองทุนหุ้นไทยของ บลจ.ทิสโก้ล้วนแต่เป็นกองทุน Active Fund ดังนั้น ผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทยในปีที่ผ่านมาก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ฝีมือในการเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนของบลจ.ทิสโก้ได้เป็นอย่างดี”
ด้านนายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุนหุ้นไทยของบลจ.ทิสโก้ประสบความสำเร็จมาจากกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม, ปรับกลยุทธ์ได้ทันสถานการณ์ลงทุน และการคัดเลือกหุ้นที่ดี นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในสายการลงทุนอย่างยาวนาน รวมถึงศึกษา ค้นคว้า วิธีการลงทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Method) มาช่วยในการเลือกหุ้นและการจัดพอร์ตการลงทุน เนื่องจากแนวทางการลงทุนดังกล่าวเป็นแนวทางที่อุตสาหกรรมกำลังพัฒนาไปในอนาคต
ขณะที่ มุมมองการลงทุนหุ้นไทยในปีนี้ ประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีไว้ที่ระดับ 1,600 จุด และมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ดังนั้น หากหุ้นไทยเกิดการปรับฐานก็เป็นโอกาสในการลงทุนและปรับพอร์ตการลงทุน โดยผู้ลงทุนอาจเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีด้วยการเลือกลงทุนในกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ และมีผลตอบแทนในอดีตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านปัจจัยบวกของหุ้นไทยในปีนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะได้รับประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงมีส่วนเสริมให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ส่วนปัจจัยลบ คือ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยหากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลลบต่อค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง และปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการกระจายวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่ต้องจับตาว่าจะดำเนินการได้ดีเพียงใด เพราะจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่เป็นดาวเด่นของ บลจ.ทิสโก้ ในปีที่ผ่านมา มี 2 กองทุน คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่เป็นกองทุนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกลยุทธ์การลงทุน สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และกองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A (TISCOMS-A)ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท