คลัง แจงสภาฯ จำเป็นต้องออก พรก.กู้เงิน 5 แสนล้าน

09 มิ.ย. 2564 | 05:16 น.

รมว.คลัง แจงสภาฯ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสน ลบ. คือทางเลือกสุดท้าย หลังโควิดรอบใหม่ระบาดเร็วและรุนแรง ขณะที่เงินกู้ พ.ร.ก.1 ลลบ.เหลือไม่พอ และรอแหล่งเงินจากงบปี 65 ไม่ได้

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า การระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงมากสุดในรอบ 100 ปี และมีการระบาดทั่วโลก รวมทั้งไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน และไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ ซึ่งได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในทุกสาขาอาชีพ และทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกและของไทยในปี 2563 หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 23 ปีนับแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

โดยในปี 63 ได้มีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน โควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในวันที่ 1 มิ.ย. 64 ครม. ได้อนุมัติโครงการใช้จ่ายวงเงินกู้ไปแล้ว 298 โครงการ วงเงินทั้งสิ้น 980828 ล้านบาท ดังนี้

  • ด้านการแพทย์และสาธารณสุข 46 โครงการ วงเงินรวม 44,479 ล้านบาท
  • ด้านการช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เกษตรกร ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ โดยอนุมัติไปแล้ว 15 โครงการ วงเงินรวม 690,136 ล้านบาท
  • ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ได้อนุมัติไปแล้ว 237 โครงการ วงเงินรวม 246,213 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างงานสร้างอาชีพของเศรษฐกิจฐานราก การส่งเสิรมอาชีพผู้พิการ ส่งเสริมการจ้างงานใหม่ รวมทั้งโครงการกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชนระยะสั้น ผ่านโครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการกำลังใจ เป็นต้น  

ทั้งนี้ วงเงินกู้ยังคงเหลืออีก 19,172 ล้านบาท  ซึ่งหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการอยู่ระหว่างการนำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินเงินกู้ วงเงินประมาณ 17,408 ล้านบาท และจะมีการนำเสนอ ครม. ต่อไป ดังนั้นจึงมีวงเงินกู้คงเหลือเพียง 1,764 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในระยะต่อไปได้ และจากการดำเนินมาตรการทางการคลัง ที่ดำเนินการแก้ปัญหาผลกระทบของโควิด-19 ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ช่วยบรรเทาการหดตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2563 จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และ IMF คาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ 8% เหลือเพียงหดตัว 6.1%

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 64 ถึงปัจจุบัน พบการระบาดในหลายคลัสเตอร์ มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แม้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเร่งรัดจัดหาวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ความไม่แน่นอนและการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด ยังเป็นความเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนได้ โดยการระบาดในระลอกใหม่นี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ว่าจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 64 ที่จะขยายตัวได้เพียง 1.5 - 2.5% และภาคการท่องเที่ยวที่ยังได้รับผลกระทบจากโควิด จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวในปี 64 ลดลงจากปี 63 ประมาณ 53% และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 4.4 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว โดยวางแนวทางเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดส หรือ Phuket Sandbox เป็นจังหวัดนำร่อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานในประเทศ ในขณะที่รัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร 70% ของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

นายอาคม กล่าวว่า รัฐบาลได้แก้ไขวิกฤตโควิดผ่านแหล่งเงินภายใต้กรอกฏหมายที่มี ทั้งการจัดสรรงบกลาง แหล่งเงินภายใต้พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19 แต่ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาในระลอกใหม่ได้ สำหรับการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 เนื่องจากสำนักงบฯ ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับหน่วยงานรัฐตามแผนการใช้จ่ายจริงแต่ละไตรมาส จึงทำให้ไม่มีวงเงินเหลือสำหรับการโอนงบประมาณได้ และเงินทุนสำรองจ่ายที่เหลืออยู่ก็ไม่เพียงพอ

ส่วนการจัดทำงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 64 รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ปี 64 มีข้อจำกัดและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด และหากรอแหล่งเงินจากงบประมาณปี 65 จะไม่ทันต่อการแก้ปัญหาในระลอกใหม่ ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนโดยเร็ว รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน ในการแก้ไขสถานการณ์เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งถือเป็นกรณีฉุกเฉินรีบด่วน และเป็นทางเลือกสุดท้ายในการตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้

สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ คือ กำหนดให้กระทรวงการคลัง มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงิน หรือออกตราสารหนี้ ไม่เกินวันที่ 30 ก.ย.65 โดยมีรายละเอียด 3 แผนงาน คือ 1.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการจัดหาวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ การเตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการ และจัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ และเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรทางการแพทย์

2.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง วงเงิน 300,000 ล้านบาท และ 3.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน/โครงการ เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค วงเงิน 170,000 ล้านบาท เพื่อพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

รัฐมนตรีคลัง กล่าวด้วยว่า เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวมีความโปร่งใส จึงกำหนดให้กระทรวงการคลัง จัดทำรายงานผลการกู้เงินตาม พ.ร.ก. รายงานต่อที่ประชุมสภาฯ ภายใน 60 วัน พร้อมยืนยันว่า การออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ คำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ความคุ้มค่าและความโปร่งใส และการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น กระทรวงการคลังจะทำอย่างรอบคอบ และอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

ดัน‘โค-เปย์’อุ้มSME ส.อ.ท.ชงปันเงินกู้ 5 แสนล้าน ช่วยจ่ายค่าจ้างคนละครึ่ง 6-9เดือน

กนก แนะ 3 แนวทาง ใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน