การลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว แม้จะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ทำให้มีทางเลือกลงทุนใน “กองทุนรวม” ซึ่งความเสี่ยงจะตํ่ากว่าและได้ผลตอบแทนสมํ่าเสมอ แต่ก็ขึ้นกับว่า จะเลือกลงทุนในกองทุนประเภทไหน โดยเฉพาะภาวะที่หุ้นไทยยังมีความผันผวนและเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ทำให้กองทุน“กองทุนหุ้นต่างประเทศ” เป็นอีกทางเลือก จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีกว่านั่นเอง
รายงานข่าวจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัดระบุว่า ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ผลตอบแทนหุ้นต่างประเทศยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยในยุโรปและอเมริกาเหนือยังให้ผลตอบเป็นบวก ขณะที่เอเชียมีประเทศจีน ที่ตั้งแต่ต้นปีถือว่า ค่อนข้างทรงตัวและบวกเล็กน้อย ส่วนกลุ่มประเทศในอาเซียนมีไทย สิงคโปร์และเวียดนาม ที่มีผลตอบแทนเป็นบวก
ส่วนผลตอบแทนกองทุนรวมของไทยปี 2563 พบว่า กองทุนหุ้นสหรัฐ และกองทุนหุ้นจีน มีผลตอบแทนเฉลี่ยนำมาเป็นอันดับต้นๆที่ระดับ 20% ซึ่งหุ้นสหรัฐได้รับประเด็นบวกจากหุ้นเทคโนโลยี ส่วนจีนมีการรับมือกับโควิดได้ดี ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็ว ส่วนอินเดียที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด แต่ก็ยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากมีหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ รวมถึงมีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เช่นกัน
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า การจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนรวม แนะนำลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 80% โดยเฉพาะหุ้นในสหรัฐ ซึ่งกองทุนหุ้นสหรัฐในอุตสาหกรรมกองทุนของไทยส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่หุ้นที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงหุ้นมีข่าวดีส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะที่ผ่านมา สหรัฐสามารถบริหารจัดการกระจายฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งรัฐบาลยังเดินหน้านโยบายการคลังอย่างต่อเนื่อง จนผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
ขณะที่ปัจจัยที่เข้ามารบกวนการลงทุนอย่างเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลนัก โดยมองว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว เพราะเงินเฟ้อในครั้งนี้มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในระยะแรกของการเปิดเมือง อีกทั้งฐานการคำนวณเงินเฟ้อที่ตํ่าจากปีที่แล้วเกิดการล็อกดาวน์ทั่วโลก ทำให้การคำนวณจะสูงกว่าปกติในปีนี้ ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เปลี่ยนท่าทีและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับตํ่าต่อไป
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนต่างประเทศมีผลการดำเนินงานที่ดีจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นแรง ทำให้ตลาดผันผวนในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่การฉีดวัคซีนที่มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงเฟดยืนยันจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินต่อไป ช่วยลดความกังวลให้กับนักลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกกลับมาฟื้นตัวต่อได้ ซึ่งนักลงทุนควรติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเงินเฟ้อ การจ้างงาน ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายของเฟดในอนาคต
นอกจากนั้น จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลดีต่อห่วงโซ่อุปทานโลก (Supply Chain) โดยเฉพาะจีนที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่อันดับต้นๆ ทำให้เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้ดี โดยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน ในแง่ระดับราคายังมีความน่าสนใจอยู่มาก และยังมีปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านนวัตกรรมและการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง
นายอดิศร เสริมชัยวงค์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย จำกัดและบลจ.ธนชาต จำกัดกล่าวว่า แม้การลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศช่วงตั้งแต่เดือนมีนาคมค่อนข้างมีความผันผวน ทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่มั่นใจไปบ้าง แต่มองว่า การกระจายลงทุนไปต่างประเทศ เป็นการเพิ่มโอกาส เพิ่มทางเลือกและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตลงทุน อีกทั้งปัจจุบันบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์เปลี่ยนโลก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตยุคใหม่นั้นยังไม่มีในไทย ดังนั้นเพื่อโอกาสที่ดีของนักลงทุนจึงจำเป็นต้องขยายการลงทุนไปต่างประเทศบ้าง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,687 วันที่ 13 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564