จากนั้นแผนการปัดฝุ่นพระเอกสาย 2 ล้อในทศวรรษที่ 30s ให้กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนยิ่งชัดเจน เมื่อปีที่แล้วบีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉม R18 Concept และยืนยันว่าจะใช้เครื่องยนต์สูบนอนขนาด 1.8 ลิตร ในการทำตลาด
สุดท้ายรถต้นแบบคันนี้ถูกขึ้นสายการผลิต พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมาในชื่อ R18
“เรามีประวัติความเป็นมาที่บริษัทอื่นๆ ล้วนอิจฉา ดังนั้น เป็นเรื่องที่ดีมากที่เรามีโอกาสแสดงสิ่งนี้ให้ทุกคนได้เห็น” เอ็ดการ์ ไฮน์ริช หัวหน้าทีมออกแบบ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด กล่าว
เมื่อบีเอ็มดับเบิลยู ตัดสินใจเพิ่มไลน์อัพที่ขาดหายไปกับรถสไตล์ครุซเซอร์ ที่วางเครื่องยนต์สูบนอน(บ็อกเซอร์) ขนาดใหญ่ แต่ยังยึดสไตล์วินเทจของ R5 จึงก่อให้เกิด R18 มอเตอร์ไซค์ในสายการผลิตที่ราคาสูงที่สุด และวางเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดของค่ายใบพัดสีฟ้า
การออกแบบที่เรียบง่ายบนตัวถังสีดำ แต้มแต่งทริมโครเมียมขัดเงา (ชัดเจนมากในรุ่น First Edition) ถังนํ้ามันทรงหยดนํ้า ท่อไอเสียทรงหางปลา ไฟหน้าทรงกลม ล้อซี่ลวดด้านหน้าขนาด 19 นิ้ว หลัง 16 นิ้ว พร้อมเปลือยเพลาขับให้เห็นชัดๆ กันไปเลย
การใช้เพลาขับรับด้วยเฟืองที่ล้อหลัง ถือเป็นเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู ข้อดีคือความทนทาน แต่มันก็ส่งผลโดยตรงต่อนํ้าหนักรถที่ขยับขึ้นไปถึง 345 กิโลกรัม(รวมของเหลว) สอดคล้องกับขนาดตัวที่ใหญ่ และมีความยาวถึง 2.44 เมตร
ขณะที่ R5 เคยใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ ขนาด 500 ซีซี แต่ยุคใหม่สมัยนี้ต้อง 1000 ซีซี ขึ้นไป ถึงจะสะท้อนความเป็นรถสไตล์ครุซเซอร์ตัวท็อป (แน่นอนว่าแข่งกับ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน จากสหรัฐอเมริกาเต็มๆ)
R18 ใช้ขุมพลังบ็อกเซอร์ 2 สูบ ขนาด 1802 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 4,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 158 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 แบบคือ Rain, Roll และ Rock ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจด้วยระบบ Hill Start Control
ด้านความเร็วสูงสุดเคลมไว้ 180 กม./ชม. ส่วนการห้ามล้อใช้ดิสก์เบรกหน้าหลัง พร้อมระบบเบรก ABS
รถครูซเซอร์ขนาดยักษ์รุ่นนี้ พร้อมทำตลาดแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนเมืองไทยมีกำหนดเปิดตัวภายในปี 2563 ราคาขายยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าเกิน 1 ล้านบาท และด้วยการเป็นรถแบบคัสตอมจะต้องมีชุดแต่งของประดับ ตามออกมาให้เจ้าของได้เสียเงินเพิ่มแน่นอน
หน้า 16-17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,565 วันที่ 12 - 15 เมษายน พ.ศ. 2563