ภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่ สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 3 เมษายน 2563 เมื่อคนไทยนับร้อยคนเดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงรวมเกือบ 200 ชีวิต ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎหมายไทย ไม่ยอมถูกกักตัวตามมาตรการพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และประกาศของสำนักงานการบินพลเรือน(กพท.)แต่กลับหลบหนีออกจากสนามบินไป มีเพียง 6 คนที่ยอมถูกกักตัว
กระทั่ง นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็น ผอ.ศบค. ต้องใช้ไม้หวด ขีดเส้นให้กลุ่มเสี่ยงที่หลบหนีการกักตัว 152 รายเข้ารายงานตัวก่อนเวลา 18.00น.ของวันที่ 4 เมษายน ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งล่าสุดทุกคนเข้ารายงานตัวครบหมดแล้ว
เกิดคำถามตัวโตๆจากคนไทยในประเทศตามมาว่า หน่วยงานไหน บุคคลใดจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏคลิปสั้นๆความยาวเกือบ 2 นาที มีนายทหารระดับสูงรายหนึ่งเจรจาตกลงกับกลุ่มคนไทยกว่า 150 คน ใจความสำคัญว่า
“ผมจะแจ้งข่าวดี ทางผู้ใหญ่อนุญาตให้กลับบ้านได้ ข้อที่สอง เมื่อเราปล่อยไปแล้วท่านต้องรับผิดชอบตัวเอง ข้อที่ 3 ขอร้องให้ทุกคนผ่านจุดนี้ไปด้วยกัน สงบปากสงบคำ ขอให้คิดเสียว่า ผู้ใหญ่ที่มีอยู่นี้ซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่เท่าไรนั้นได้ประสานงานไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถ้าทุกคนออกจากที่นี่ไปด้วยความสงบเรียบร้อย การประสานงานของเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบในวันนี้เพื่อลดปัญหากันให้เรา เมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้วให้รับผิดชอบการเดินทางด้วยตัวเอง หากมีปัญหาเรื่องเคอร์ฟิวทุกคนมีเอกสารอยู่ในมือให้เก็บไว้ อธิบาย ชี้แจง ด้วยเหตุด้วยผลตามเอกสารของทางราชการที่มีอยู่ในมือทั้งที่ได้มาจากต่างประเทศและในประเทศไทยที่สามารถบอกได้ว่า มีความปลอดภัยในเรื่องของโรค หวังว่าสิ่งที่พวกท่านขอร้องมา จบแค่นี้”
นำมาสู่การตรวจสอบ พล.ต.โกศล ชูใจ ที่ทำหน้าที่เจรจาและปล่อยคนไทย 152 คนออกไปให้ไปกักตัวที่บ้าน โดย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร เข้ามากำกับดูแลการบังคับใช้ข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แทน แต่คำถามสำคัญ คือ ในฐานะหัวหน้า ศปม.จะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร
อย่างไรก็ดี หากดูกระบวนการและขั้นตอนต่างๆก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยที่เริ่มกันตั้งแต่ “กระทรวงการต่างประเทศ” หน่วยงานต้นทางจะทำหน้าที่สื่อสารชี้แจงให้คนไทยได้เข้าใจก่อนแล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ว่าต้องปฏิบัติมาตรการที่มีอยู่ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ในเวลาต่อมาเพราะถูกโจมตีอย่างหนักเช่นกันว่า ไม่ทำตามคำสั่งของนายกฯรัฐมนตรีที่ให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยไว้ก่อน โดยนายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า นอกจากจะขอให้คนไทยเคร่งครัดในการหาใบรับรองแพทย์ fit to fly ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งออกก่อนหน้าจะมีประกาศให้ชะลอการเดินทางตามข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ทั้งยังยืนยันด้วยว่า หลายสถานทูตฯได้ระบุไว้ในประกาศของสถานทูตด้วยแล้วว่า หากกลับมาในช่วงนี้จะถูกกักกันตัวในทุกกรณี ในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐกำหนด 14 วัน และในแบบฟอร์มออนไลน์ขอหนังสือรับรองจากสถานทูตก็ได้ระบุเตือนเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย
ขณะที่ในส่วนของแต่สายการบินนั้น จะมีตรวจวัดไข้เพื่อคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง หากมีอาการไข้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่อง หากมีอาการไข้ระหว่างอยู่บนเครื่องก็จะให้นั่งแยกออกจากกลุ่ม ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมถึงแยกห้องน้ำเป็นการเฉพาะด้วย เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จะมีหลุมจอดเฉพาะ เมื่อเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิก็จะมีขั้นตอนในการคัดกรองคนจากประเทศกลุ่มเสี่ยงในระดับที่เข้มข้นอีกเช่นกัน ทั้งการผ่านจุดคัดกรองผู้โดยสาร ต้องผ่านเทอร์โมสแกน ลงแอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามและรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ รวมถึงการตรวจสุขภาพ ก่อนขึ้นรถบัสออกจากสนามบินเพื่อไปยังสถานที่พักกักตัว 14 วัน
แม้ว่าเที่ยวบินจากประเทศมาเลเซีย Flight MH782 เมื่อคืนวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาซึ่งมีคนไทย 51 คนเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆด้วยความเรียบร้อย เรื่องที่น่ากังวลที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาเมื่อมีรายงานล่าสุดว่า จะมีเที่ยวบินจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ขนคนไทยเดินทางเข้ามาอีกกว่า 200 คน!!
หากยังไม่สามารถมองหารูรั่วหรือจัดการแก้ปัญหาวิกฤติที่ศูนย์ EOC สุวรรณภูมินี้ได้ ปัญหาเดิมๆก็จะวนซ้ำกลับมาอีกจนนำไปสู่ความหายนะของประเทศได้