วันที่ 26 ก.ค.63 มีความคืบหน้าจากกรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ "บอส อยู่วิทยา" เพจเฟซบุ๊ก CSI LA ได้ออกมาเผย โดยะบุว่า “เอกสารลับที่คนวงในส่งมาครับที่อธิบายว่าทำไมนายบอสถึงรอด”
โดย CSI LA อ้างว่า "เป็นหนังสือคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ ที่ตำรวจปั้นพยานขึ้นมาสองคนหลังเหตุเกิดไป8ปีแล้ว พยานให้การว่าเห็นนายดาบขับรถตัดหน้า ทำให้นายบอสไม่ถือว่าประมาทเลยสั่งไม่ฟ้อง ประเด็นอยู่ที่ฝ่ายนายบอสร้องขอความเป็นธรรม แล้วอยู่ๆเดือนธันวาคม 2562 มีพยานโผล่มาสองคน ว่าขับรถตามกันมา ด้วยความเร็ว80 กม.ต่อชม. ประเด็นอยู่ที่ฝ่ายนายบอสร้องขอความเป็นธรรม แล้วอยู่ๆเดือนธันวาคม 2562 มีพยานโผล่มาสองคน ว่าขับรถตามกันมา ด้วยความเร็ว80 กม.ต่อชม. เอาคำให้การบุคคลมาหักล้างผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์มันใช้ไม่ได้"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เลขาฯคปต."จี้นายกฯตรวจสอบ-ลงโทษคนช่วย"บอส อยู่วิทยา"
แฮชแท็ก #SayNoToRedBull กลับมากระหึ่มโลกโซเชียล
Ferrari FF “เฟอร์รารี่ บอส อยู่วิทยา” รุ่นอะไร แรงแค่ไหน
กระทิงแดง แจง "บอส อยู่วิทยา" ไม่เกี่ยวกับกลุ่ม TCP
โดยเอกสารที่ CSI LA ใบแรกระบุว่า เป็น "ใบต่อความเห็นและคําสั่ง สำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 แผ่นที่ 73" เนื้อหาระบุว่า
... 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้อีก และมีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม คือ พลอากาศโท จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และนายจารุชาติ มาดทอง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ได้ความว่าพยานทั้งสองขับรถยนต์แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปรากฏในภาพวงจรปิด) ให้การว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อพยานทั้งสองปากเป็นประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุ ให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นสําคัญเกี่ยวกับคดี ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคําให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่า ขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 3 ชิดเกาะกลางถนนด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีนายจารุชาติ มาดทอง ขับรถยนต์กระบะแล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 2ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์แล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 1 (ด้านซ้าย)
แล้วผู้ต้องหาที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถจากช่องทางที่ 1 ผ่านช่องทางเดินรถที่ 2 ที่นายจารุชาติ ขับรถมา นายจารุชาติ ชะลอความเร็วของรถลงและหักพวงมาลัยหลบไปทางซ้ายมือเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา แต่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมาในระยะกระชั้นชิด จึงทําให้รถยนต์คันที่ ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มาชนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยน
จากนั้น เป็น "ใบต่อความเห็นและคําสั่ง สำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 แผ่นที่ 74" ระบุเนื้อหาต่อเนื่องกันว่า
ช่องทางเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในระยะกระชั้นชิด ทําให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันที่ เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ต้องหาที่ 1 แต่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ต้องหาที่ 2 ที่เปลี่ยนช่องทางเดินทางรถในระยะกระชั้นชิด
การกระทําของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 291 คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ และเป็นกรณี กลับความเห็นและค้าสั่งเดิมตามระเบียบสํานักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดําเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 6 วรรคท้าย 48
อนึ่ง ฝ่ายผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากฝ่าย ผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่พอใจ และไม่ประสงค์จะดําเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ต้องหาที่ 1อีกต่อไปแล้ว
สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานกระทําโดยประมาทและการกระทํานั้น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 กลับความเห็นและคําสั่งเดิม
กรณีสั่งไม่ฟ้อง เสนอผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1
ลงนามวันที่ 20 ม.ค. 2563 โดย นายเนตร นาคสุข อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด