มาตามนัด“ชาญชัย”จ่ออุทธรณ์ฟ้อง“บอร์ดทอท.-คิงพาวเวอร์”
“ชาญชัย” เดินหน้าอุทธรณ์คดีฟ้อง “บอร์ด ทอท. - คิงพาวเวอร์” เตรียมมอบคำพิพากษาให้ "พล.อ.ประยุทธ์"เพื่อดำเนินการเอาเงิน 1.4 หมื่นล.คืนแผ่นดิน พร้อมแนะรัฐบาลแก้ปัญหาค่าโง่ ดอนเมือง โทลเวย์
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองประธานอนุกรรมาธิการ ด้านกลไกการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ในประเด็นที่ตนเองเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย 18 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (บอร์ดทอท.) และบริษัทเอกชน 3 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทคิง พาวเวอร์ โดยศาลได้มีคำพิพากษาฉบับเต็มออกมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา
นายชาญชัย ระบุว่า ตนเองเคารพในคำพิพากษาของศาลแต่ยังคงรักษาสิทธิ์โดยจะดำเนินการอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไปในเรื่องอำนาจฟ้องให้เกิดความเสียหายโดยมูลค่าความเสียหายของคดีนี้อยู่ที่ 14,290 ล้านบาท หากไม่ดำเนินการต่อก็ไม่รู้ว่า หน่วยงานใดจะเป็นผู้รับผิดชอบเข้ามาดำเนินการ
ทั้งนี้ จะนำคำพิพากษานี้ไปมอบให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี นำไปจัดการในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลโดยด่วนที่ศาลพิพากษาชี้ว่า แม้ตนเองไม่มีอำนาจฟ้องแต่นายกรัฐมนตรีถือว่า เป็นผู้มีอำนาจในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานภาครัฐจะต้องสั่งการให้มีการดำเนินการเอาเงิน 14,290 ล้านบาทกลับคืนเข้าคลังของแผ่นดินให้ได้
นอกจากนี้ยังระบุถึงการแก้ไขปัญหาค่าโง่ทางด่วนดอนเมืองโทลเวลล์ ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่รัฐจะต้องจ่ายค่าโง่จากกรณีที่กลุ่มบริษัทดอนเมืองโทลเวลล์ (วอเตอร์ บาว บริษัทผู้ร่วมทุน)ไปฟ้องต่อ คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นฝ่ายแพ้จะต้องเสียค่าโง่จำนวน 1,200 ล้านบาท อ้างเหตุที่ฟ้องเนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมให้ขึ้นค่าทางด่วนตามที่บริษัทเอกชนร้องขอว่าเป็นไปตามสัญญาซึ่งรัฐบาลในช่วงปี 2549 และอีกชุดคือในปี 2550 ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาโดยการเยียวยาให้ขึ้นค่าทางด่วนจาก 43 บาทเป็น 100 บาท (ในปัจจุบัน) โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องถอนฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการทุกกรณี
แต่กลับปรากฏว่าบริษัทเอกชนไม่ได้ถอนคำฟ้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการตามที่มีการทำสัญญาว่า เมื่อเพิ่มค่าทางด่วนให้แล้วบริษัทเอกชนจะต้องถอนฟ้องดังกล่าว เรื่องนี้ภาคประชาชนโดยมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชนได้นำเรื่องนี้ขึ้นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 18 ส.ค.2558 พิพากษาว่า การขึ้นราคาค่าทางด่วน จาก 43 บาทเป็น 100 บาทของบริษัททางด่วนดอนเมืองโทลเวลล์นั้น ถือว่าเป็นสัญญาที่ทำเพิ่มขึ้นโดยมิชอบ ให้ถือเป็นอันยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่แก้ไขสัญญาและให้กลับไปใช้สัญญาเดิมคือเก็บค่าผ่านทางในราคา 43 บาท ซึ่งเป็นระยะทางที่กำหนดในสัญญาเดิม โดยสัญญานี้หมดอายุในปี 2557
โดยเรียกร้องขอให้รัฐบาลให้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเพื่อให้เรื่องนี้ยุติและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนผู้ใช้ถนน หรือทางด่วน ทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาความเสียหายของประชาชนและรัฐที่จะต้องชดใช้แพงเกินกว่าเหตุจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้ถอนคำอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดโดยเร็วที่สุดเพื่อให้เป็นธรรมต่อประเทศไทยและพี่น้องประชาชน ถ้าไม่กระทำภายใน 15 วันนับจากนี้ จะทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ ให้รับทราบว่า มีเรื่องนี้เกิดขึ้นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ทั้งที่มีคำพิพากษาของศาลปกครองกลางรองรับแล้ว แต่รัฐบาล คสช. มิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลักกลับคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเอกชนมากกว่าผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนนับล้านคน ที่ใช้ทางด่วนสายนี้ในแต่ละวัน
ทั้งนี้ หากคำนึงถึงสัญญาเดิมที่สิ้นสุดลงเมื่อปี 2557 ก็ถือว่า ทางด่วนสายนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐไทยแล้ว รัฐบาลนี้สามารถเปิดให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศใช้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านทางด้วย โดยไม่ได้เป็นการละเมิดหรือ ทำผิดสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ใช่การยึดกิจการหรือทรัพย์สินของบริษัทเอกชนแต่อย่างใดซึ่งตนเองนั้นจะแถลงข่าวเตือนนายกฯ ประยุทธ์เป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากนี้จะนำสัญญาและสำนวนการสอบสวนต่างๆไปให้นายกฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นและกระทรวงคมนาคมในฐานะผู้กำกับดูแลรับผิดชอบกรมทางหลวง ในฐานะผู้ทำสัญญาที่เสียค่าโง่ให้กับบริษัทเอกชน ทั้งที่ไม่ควรจะเสียค่าโง่และภาษีของประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐและผลประโยชน์โดยรวมของชาติ เพราะกรณีนี้มีประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนที่รับผลกระทบนับจำนวนนับล้านคนต่อวัน