ค้าน ตั้ง กมธ.วิสามัญสอบงบเงินกู้ ชี้ ซ้ำซ้อน-เปลืองเวลา-เบี้ยประชุม

30 พ.ค. 2563 | 02:50 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2563 | 10:03 น.

ปธ.สส.พปชร.ค้าน ตั้งกมธ.วิสามัญสอบงบโควิด ชี้ ซ้ำซ้อนกมธ.สามัญ 35 คณะ สิ้นเปลืองเวลา -เบี้ยประชุม ย้ำ อยู่ในสายตา สตง.-ป.ป.ช และรายงานรัฐสภา ยัน มาตรฐานเข้มกว่าพรก.เงินกู้ ยุคสมัย "อภิสิทธิ์ - ยิ่งลักษณ์"

จากกรณีที่พรรคฝ่ายค้านและพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่กำลังอยู่ในการอภิปรายของสภาในขณะนี้ ล่าสุดนายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และ ประธาน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ส่วนตัวแล้วตนไม่เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.วิสามัญฯดังกล่าวเพราะมีหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือพิจารณาและกลั่นกรองอยู่แล้ว อาทิ สภาพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง รวมทั้งในระดับพื้นที่จะต้องเสนอผ่าน คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัด และ กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.)กลั่นกรอง ก่อนเสนอให้ครม.เป็นผู้อนุมัติโครงการตามที่เสนอมาเท่านั้น โดยนักการเมืองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ขณะที่สภาก็มี กมธ.สามัญฯอยู่แล้ว 35 คณะ สามารถทำหน้าที่และสามารถตรวจสอบ พรก.กู้เงิน1.9 ล้านล้านบาท ทั้ง 3ฉบับได้ พวกเราที่เป็น ส.ส.ทุกคน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ในฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมั่นใจในระบบราชการที่เข้ามาดูแลงบประมาณตัวนี้ จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกมธ.วิสามัญฯ ให้ขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลาการทำงานกับทุกฝ่าย และรวมทั้งเสียงบประมาณของแผ่นดิน เกี่ยวกับเบี้ยประชุมอีกด้วย

ประธานส.ส.พปชร. ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนที่ฝ่ายค้านคิดและเป็นข้อกังวลในการใช้งบประมาณเกรงว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น หรือใช้งบประมาณไปไม่ตรงวัตถุประสงค์นั้น ท่านต้องอย่าลืมว่าประเทศไทยนั้นก็มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน( สตง.) และ คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ร่วมตรวจสอบ  ยิ่งโดยเฉพาะพรก.เงินกู้ 1 ล้านบาทถือว่า มีกรอบดำเนินการที่รัดกุมโดยใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะมาบังคับใช้ กำกับติดตาม การเบิกจ่ายเงินกู้ และ ต้องมีการประเมินโครงการต่างๆ  นำเสนอต่อ ครม.ทุก 3 เดือน  

ส่วนการกำกับติดตามเงินกู้และผลสัมฤทธิ์ของโครงการ มาตรการต่างๆเหล่านี้ ผมเชื่อและมั่นใจว่า ท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้นได้คิดและวางแผนมาตรการต่างๆในการบริหารจัดการไว้แล้ว ซึ่งมีการรายงานต่อรัฐสภาภายใน 60 วันนับแต่สิ้นปีงบประมาณ ซึ่งถือว่ามีมาตรฐานตรวจสอบ หรือ มีการประเมิน KPI สูงกว่าเมื่อเทียบกับพรก.เงินกู้ในอดีตคือ พรก.ไทยเข้มแข็งในปี 52 และพรก.กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารน้ำ ปี 2555