ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณา “พรก.เงินกู้” น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปราย ถึงพรก.กู้เงิน 3 ฉบับว่า ธุรกิจ SME s เปรียบเสมือนรากฝอยของเศรษฐกิจที่ยึดโยงจนเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ เพราะ ช่วยสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นหัวใจในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสังคม และยังเป็นจุดเชื่อมโยงของช่องว่างระหว่างชนชั้นของสังคม และเป็นจุดเริ่มต้นของคนตัวเล็กทุกๆ คนที่ต้องเรียนรู้เพื่อเติบใหญ่
ดังนั้น มาตรการสินเชื่อซอฟต์โลนที่รัฐบาลและ ธปท. ได้ดำเนินการนั้น จึงนับเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเข้าใจถึงข้อจำกัดของรัฐบาลและ ธปท. ที่ต้องใช้เงินซึ่งถือเป็นเงินของงบประมาณแผ่นดินด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด จึงทำให้การออกกฎระเบียบ ทำให้มีข้อจำกัดในการปฏิบัติหลายประการ ทำให้ SME ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวในปริมาณน้อย ไม่มากเท่าที่ควร
น.ส.วทันยา กล่าวว่า สาระสำคัญของพ.ร.ก. แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน นั่นคือ 1. มาตรการสนับสนุนสินเชื่อซอฟท์โลน 0.01% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์กู้แล้วปล่อยสินเชื่อต่อไปยังผู้ประกอบการรายย่อย ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2% ระยะเวลา 2 ปี เพื่อเป็นเงินทุนฉุกเฉินให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 และช่วยบรรเทาภาระโดยให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบดอกเบี้ย 6 เดือนแรก แทนผู้ประกอบการ และธนาคารพาณิชย์ งดเก็บค่าธรรมเนียมทุกประเภทในการขอสินเชื่อ
และ 2. มาตรการชะลอการชำระหนี้โดยให้อำนาจ ธปท. สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจชะลอการชำระหนี้และดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือนโดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ หรือให้พูดง่ายๆ คือ ไม่ติดแบล็คลิสต์ในเครดิตบูโร
จากที่สอบถามผู้ประกอบการหลายรายได้รับแจ้งจากธนาคารพาณิชย์ว่า วงเงินสินเชื่อซอฟต์โลนของ ธปท. นั้น ปิดรับเพราะวงเงินสินเชื่อนั้นเต็มแล้ว แต่ทางธปท.ยืนยันว่ายังคงมีวงเงินเหลือสามารถกู้ได้อยู่ ก็คงต้องรอติดตามความคืบหน้าในการขอสินเชื่อนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่?
แต่ในส่วนของผู้ที่ขอสินเชื่อแล้วได้รับการอนุมัติเรียบร้อย พบว่ามีผู้ประกอบการหลายรายที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ มีผลประกอบการดี ในอดีตธุรกิจมีสภาพคล่องจึงพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินน้อย เมื่อธุรกิจประสบปัญหาไวรัสโควิด ต้องการกู้เงินจากโครงการ แต่ด้วยข้อกำหนดของ พรก. ในมาตรา 9 ที่กำหนดให้ปล่อยสินเชื่อได้ ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 นั้น หลายรายจึงได้รับเงินกู้ไม่เพียงพอต่อความต้องการเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“ดิฉันก็เข้าใจถึงเจตนาของ ธปท. ที่ต้องการกำหนดเพดานวงเงินเพื่อให้เงินดังกล่าวถูกนำไปกระจายให้ผู้ประกอบการได้มากที่สุด ซึ่งข้อระมัดระวังเหล่านี้ หลายครั้งเรามักพบว่าในแง่ของการปฏิบัติจริงทำให้เกิดข้อติดขัดที่ทำให้การช่วยเหลือไม่สามารถไปถึงยังมือผู้ที่เดือดร้อนได้อย่างเหมาะสมเพียงพอ”
อย่างไรก็ตาม ตนมีข้อกังวลในการปฏิบัติ คือธนาคารพาณิชย์ อาจยังมีแรงจูงใจไม่เพียงพอ หรือรายรับไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงในอนาคต และในมาตรา 11 ของพ.ร.ก.ยังกำหนดให้กระทรวงการคลังช่วยชดเชยเงินกู้ส่วนหนึ่งหากเกิดหนี้เสีย หรือ NPL ขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ แต่มาตรา 10 ที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ ธปท. โดยมีเงื่อนไขต้องชำระคืนเงินกู้ภายใน 2 ปี พร้อมดอกเบี้ย หนี้เสียที่เกิดขึ้นเมื่อเลยวันครบกำหนดชำระจะตกเป็นภาระของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศและทั่วโลกต้องหยุดชะงักเช่นนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าหลายประเภทธุรกิจนั้นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยอีก 1-2 ปี จึงจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ การให้รัฐเป็นผู้ร่วมชดเชยหนี้เสียจึงไม่อาจคลายความกังวลให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้ SME ได้ทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มประเภทที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ปกติถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้สำคัญของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการเห็นถึงประโยชน์ในการแบ่งเบาภาระต้นทุนทางการเงิน แต่ในมุมของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นองค์กรประกอบธุรกิจเพื่อแสวงผลกำไรนั้น อาจแตกต่างออกไป เพราะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าของรายได้ต่อความเสี่ยงของภาระที่อาจตามมาในอนาคต ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ SME เพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ในเวลาที่ต้องการ
ทั้งนี้ น.ส.วทันยา ได้ฝากข้อเสนอแนะ คือในอีก 6 เดือนข้างหน้าเมื่อสินเชื่อต่างๆ ที่ได้รับการผ่อนผันการชำระดอกเบี้ยและการชำระหนี้แล้ว ธปท. รัฐบาลควรหารือกับธนาคารพาณิชย์ และสอบถามความเห็นไปยังผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป เพื่อกำหนดมาตรการที่ชัดเจน รัดกุม ไร้ช่องว่างในการปฏิบัติหรือให้มีช่องว่างน้อยที่สุดในการเตรียมรับมือ หากยังไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะชำระดอกเบี้ยและสินเชื่อที่มีอยู่
แม้ในปัจจุบันได้มีข้อกำหนดเบื้องต้นจาก ธปท. ห้ามเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ในคราวเดียวกันทีเดียว แต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวคงยังไม่เพียงพอในการรองรับปัญหาทั้งหมด
ทั้งเห็นด้วยกับเจตนารมย์ที่ดีของรัฐบาล และ ธปท. ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่ก็ต้องพึงระวังถึงการใช้งบประมาณของประเทศ ซึ่งจากระเบียบดังกล่าวจะเห็นได้ว่า SME นั้นยังคงได้รับประโยชน์อยู่น้อย หวังว่าผู้ให้และผู้ปฏิบัติจะพยายามหามาตรการหรือทางช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติม
และในส่วนของเงินกู้จาก พ.ร.ก.“เราไม่ทิ้งกัน”ฉบับแรก วงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่จะใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ หากถูกนำมาว่าจ้าง SME เพื่อให้ สามารถดูแลลูกจ้างของตนเองให้เกิดการจ้างงานต่อไป ก็จะเป็นประโยชน์ในการใช้เงินอย่างยิ่ง หากนโยบายไหนที่ถูกนำไปใช้แล้วเป็นประโยชน์ก็ควรได้รับการสานต่อในการวางกรอบงบประมาณประจำปีต่อๆไปเพื่อให้เงิน 4 แสนล้านบาทที่เปรียบเหมือนหัวเชื้อนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด
“วันนี้ก็เป็นวันที่ 30 พ.ค. แล้ว ทุกคนในที่นี้ รวมถึงข้าราชการและลูกจ้างบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ เมื่อวานคงจะได้รับเงินเดือนเพื่อไปชำระค่าใช้จ่ายของแต่ละบุคคล แต่ในทางกลับกัน เมื่อวาน(29 พ.ค.) คือวันที่ SME ที่ได้รับผลกระทบร้อนใจมากที่สุดอีกวันหนึ่ง ว่าเขาจะเอาเงินที่ไหนจ่ายเงินเดือนพนักงาน และภาระหนี้ต่างๆ
ซึ่งพนักงานเหล่านั้นก็อาจจะเป็นพ่อ เป็นแม่ของเด็กสักคนหนึ่งที่กำลังรอค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งค่าอาหารสักมื้อ ทุกอย่างล้วนแต่เกี่ยวข้องอยู่ในสังคมไทยอย่างแยกไม่ออก และถ้าพวกเราที่อยู่ที่นี้มองเห็นภาพเหล่านั้นชัดเจนเหมือนกัน เชื่อว่าเราทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือและสนับสนุน SME รวมถึงชีวิตเหล่านั้น”น.ส.วทันยา ระบุ