กรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อ 'ไทยเอ็นไควเออร์'ยอมรับก่อนรัฐประหาร 49 ยังเดียงสาทางการเมือง ไม่รู้ว่าไทยเป็นรัฐซ้อนรัฐการลุกขึ้นประท้วงของนักศึกษา คือภาพสะท้อนความต้องการประชาธิปไตย ไม่เอาทหาร และไม่เอาการรับรองรัฐประหารจากสถาบันนั้น
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากให้นายทักษิณ มองว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นรัฐซ้อนรัฐ หรือเป็นรัฐแบบใด หรือเป็นผู้เดียงสาและไม่เข้าใจสภาวะรัฐซ้อนรัฐของไทยมากนัก จนกระทั่งโดนขับไล่
“ผมอยากให้ดูที่ต้นเหตุถึงการขับไล่มากกว่า ว่านายทักษิณได้ทำอะไรลงไปบ้าง และสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างไร ซึ่งจะต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ไม่มีใครเชื่อว่า นายทักษิณ จะอ่อนเดียงสา แต่เชื่อว่าเป็นเพราะดื้อและมีอัตตาเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ไม่ยอมรับฟังคนที่หวังดีที่เตือนสติมากกว่า จนทำให้เกิดปัญหามากมายนำมาสู่ความขัดแย้งและความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง ปล่อยให้มีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริวารและพวกพ้องอย่างมากมาย”
ส่วนที่นายทักษิณบอกว่าอยากไปให้ไกลจากการเมือง แต่มีผู้มีอำนาจยังคงรังแกเขาอยู่ ผู้มีอำนาจหวาดกลัวเขา เหมือนเป็นผีดิบทางการเมืองนั้น นายสุภรณ์ ระบุว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง เพราะส่วนตัวเชื่อว่านายทักษิณ ยังคงอยากมีอำนาจทางการเมือง อยากเป็นผีดิบกระหายอำนาจทางการเมืองเสียเองมากกว่า โดยเห็นจากพฤติกรรมที่ผ่านมาไม่เคยหยุดที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย
แม้การเลือกตั้งท้องถิ่นระดับอบจ.ที่ผ่านมายังเข้าไปยุ่งในการหาเสียงเลือกตั้งที่จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ซึ่งคำพูดดังกล่าวถือเป็นการพูดใส่ร้ายกล่าวหาคนอื่นและให้ตัวเองดูดีเท่านั้น ถ้าต้องการยุติบทบาททางการเมืองอย่างจริงจัง ควรนั่งแถลงข่าวให้ชัดเจนเลยว่าจะล้างมือและไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดๆ และนักการเมืองหน้าไหนทั้งสิ้น แม้แต่กลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหลาย หรือพวกแดงล้มเจ้าที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ก็จะไม่มีวันช่วยเหลือสนับสนุนอีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้คนไทยส่วนใหญ่เริ่มเชื่อใจขึ้นมาบ้าง
สำหรับการลุกขึ้นมาชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาในประเทศไทยเวลานี้ ขอนายทักษิณ คิดทบทวนให้ดีว่าเป็นการชุมนุมที่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการชุมนุมที่ก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หวังคิดล้มล้างสถาบัน ซึ่งนายทักษิณก็รู้แก่ใจว่า มีกลุ่มบุคคลใดเป็นอีแอบหนุนหลังอยู่ ซึ่งเรื่องก้าวล่วงสถาบันนี้เป็นที่กระทบกับจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีวันที่คนไทยจะยอมเด็ดขาด
ขณะเดียวกันประเทศกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขวิกฤติของประเทศ ดังนั้น ขอร้องให้ นายทักษิณ อย่าคิดสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังของกลุ่มผู้ชุมนุมเลย ทั้งนี้ตนเองก็ไม่มั่นใจว่าที่มีการชุมนุมนั้น แกนนำต่อสู้เพื่ออนาคตของตัวเองที่ได้ท่อน้ำเลี้ยงจากใครมาทำการชุมนุม หรือชุมนุมเพื่ออนาคตของประเทศ หรือของบุคคลที่เป็นอีแอบอยู่เบื้องหลังกันแน่ เหมือนดังเช่นการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมา
“ในอดีตการชุมนุมของกลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดง เราก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า คนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร และได้รับทุนสนับสนุนน้ำเลี้ยงจากใคร และต่อสู้เพื่อใคร เป้าหมายคืออะไร ใครคือผู้รอรับผลประโยชน์ ผมคงไม่ต้องไปเล่าเรื่องราวฟื้นฟูความทรงจำในอดีตให้กลับขึ้นมาอีก เพราะผมไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวการต่อสู้ในอดีตที่เคยเจ็บปวด เพราะประชาชนส่วนใหญ่ถูกหลอกให้มาลงถนนต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งอำนาจของกลุ่มคนบางคน ซึ่ง นายทักษิณ รู้ดีแก่ใจ”
นายสุภรณ์ กล่าวด้วยว่า ตนขอร้องนายทักษิณว่า ถ้ารักและห่วงใยประเทศจริง และอยากไปให้ไกลจากการเมือง ควรหยุดพูดวิพากย์วิจารณ์เสียที เพราะยิ่งพูดยิ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกอย่างต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น ตนยืนยันไม่มีอำนาจไหนไปรังแกท่าน อย่าไปคิดว่ามีอำนาจไหนมารังแก จิตคงสับสน คิดมากเลยวิตกกังวลไปเองมากกว่า
“นายทักษิณ เองต่างหาก ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ได้รังแกและคิดร้ายทำร้ายตัวเองตลอดมา สาเหตุเกิดจากความเชื่อในอำนาจที่ครอบครองอยู่จนเกิดความคิดเก่งกล้าท้าทายอำนาจประชาชนมากกว่า จึงนำไปสู่การชุมนุมขับไล่นายกฯ และรัฐบาล เชื่อว่าถ้า นายทักษิณ ลองตั้งใจหยุดพูดหยุดวิพากย์วิจารณ์ สักปีสองปี และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองจริงๆ อีกเลย เชื่อว่าประเทศไทยจะลดความขัดแย้ง ความสงบสุขและสันติสุข จะกลับคืนมามากกว่านี้อย่างแน่นอน" นายสุภรณ์ ระบุ