ดูชัดชัด เอกสารลับ "พรก.กู้เงิน 7 แสนล้าน" เปิดเหตุผลทำไมต้องกู้เพิ่ม

19 พ.ค. 2564 | 09:32 น.

รายงานพิเศษ : ดูชัดชัด เอกสารลับ "พรก.กู้เงิน 7 แสนล้าน" เปิดเหตุผลทำไมต้องกู้เพิ่ม

จากกรณที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ออก พรก.กู้เงิน  7 แสนล้านบาท หรือ พระราชกำหนดเพื่อฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ระลอกใหม่ เพิ่มในวงเงิน 7 แสนล้านบาท

ฐานเศรษฐกิจ ได้ตรวจสอบ "เอกสารลับ" ว่าวาระดังกล่าว เสนอโดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกระทรวงการคลัง เรื่อง ร่างพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. ....

โดยกระทรวงการคลัง ให้เหตุผลความจําเป็นที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 อนุมัติร่างพระราชกําหนดให้อํานาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... 

และต่อมาพระราชกําหนดให้ อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจาก การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ได้มีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 กําหนดให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอํานาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยจะต้องลงนามในสัญญากู้เงินหรือออกตราสารหนี้ ไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2564 

ทั้งนี้ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการที่เสนอ ขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินฯ แล้ว จํานวน 2,487 โครงการ กรอบวงเงินกู้ 833,475 ล้านบาท เพื่อดําเนินมาตรการทางการคลังอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดแต่ละระลอกในช่วงปี 2563 – 2564 โดยเป็นการช่วยเหลือด้านการแพทย์ และสาธารณสุข การช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาด และการฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม

โดยปัจจุบันได้มีการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบกลุ่มต่างๆ 

  • โครงการเยียวยาเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 42.47 ล้านคน 
  • โครงการเราชนะ จํานวน 32.4 ล้านคน 
  • เราไม่ทิ้งกัน จํานวน 15.26 ล้านคน 
  • เรารักกัน จํานวน 4.1 ล้านคน 

และการฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้รับผลประโยชน์ผ่านการดําเนินโครงการ

  • คนละครึ่ง จํานวน 14.75 ล้านคน 
  • เราเที่ยวด้วยกัน จํานวน 5.77 ล้านคน 

โดยมีกรอบวงเงินกู้คงเหลือ จํานวน 166,525 ล้านบาท 

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและ ผู้ประกอบการในระลอกเดือนเมษายน 2564 ซึ่งมีความจําเป็นต้องนําเงิน ส่วนที่เหลือไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบอีกประมาณ 150,000  ล้านบาท จึงทําให้มีวงเงินคงเหลือจํานวน 16,525 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการคืนกรอบวงเงินกู้เหลือจ่ายบางส่วน 

โดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้จะพิจารณาให้กับ หน่วยงานอื่นต่อไป ซึ่งจากการดําเนินมาตรการทางการคลังข้างต้นภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน ส่งผลให้ เศรษฐกิจไทยปี 2563 หดตัว 6.1% ซึ่งต่ำกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) คาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ประมาณ 8%

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ในหลายประเทศทั่วโลกยังมีความยืดเยื้อ อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม  2564 มีลักษณะการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) หลายจุด 

ทั้งในแหล่งที่พักอาศัย สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ สาธารณะ และในชุมชนอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้างและมีความรุนแรง มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ประเทศไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งสิ้น 110,082  ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจํานวน 43,268 ราย และเสียชีวิตจํานวน 614 ราย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลพยายามจัดหาและกระจายวัคซีนให้ครอบคลุม ประชากรมากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ยังมีความเสี่ยงของการกลายพันธุ์ของไวรัส จึงไม่สามารถใช้เป็น หลักประกันว่าจะสามารถควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจํากัด และยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจัดเก็บ รายได้ของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการกระจายวัคซีนของหลายประเทศ เป็นอีกปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อรายได้หลักของประเทศซึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ว่า จํานวน นักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2564 จะอยู่ที่ 3.2 ล้านคน ลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมที่ 5 ล้านคน หรือลดลง ประมาณ 53% จากปี 2563 และคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงประมาณ 440,000  ล้านบาท จากปี 2563 

นอกจากนี้ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้คาดการณ์ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยว่า จะทําให้เศรษฐกิจไทยปี 2564 ขยายตัว 2.3% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของสํานักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัว 1.5% – 2.5% เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย

การระบาดตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการฟื้นตัว ของการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 2,387,825 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการเอกสารงบประมาณ  343,575 ล้านบาท คิดเป็น 12.5% และต่ำกว่าปี 2562 จํานวน 178,691 ล้านบาท คิดเป็น 6.5% 

สําหรับ สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาการหดตัว ของเศรษฐกิจในปี 2563 และภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดเก็บ รายได้ของรัฐบาลในอนาคต

รัฐบาลมีความจําเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหา จํากัดการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจํากัด และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่แต่เนื่องจากแหล่งเงินงบประมาณที่สามารถนํามาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดมีข้อจํากัด อาทิ การจัดทํางบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีกระบวนการและใช้เวลา การดําเนินงาน ซึ่งอาจไม่ทันต่อสถานการณ์การระบาด

ประกอบกับวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล งบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ใกล้เต็มกรอบวงเงินแล้ว

ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่และเพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารสภาพคล่องทางการคลังในกรณีที่การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลได้รับ ผลกระทบจากการระบาด รัฐบาลจําเป็นต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ได้รับความเสียหาย และเตรียมการรองรับความเสียหายใหม่ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยการเตรียม ความพร้อมด้านการเงินล่วงหน้า เพื่อให้ทันต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบ ต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวและยากต่อการแก้ไข

นอกจากนั้น ภายหลังการระบาดภาครัฐจําเป็นต้องมีการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยคาดว่าเมื่อสถานการณ์การระบาดสิ้นสุดลง และสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ ภาวะปกติ ธุรกิจเอกชน ภาคการผลิต และภาคการบริการจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการกลับมาดําเนินการ ได้ตามปกติ 

ดังนั้น ในช่วงรอยต่อดังกล่าวที่การลงทุนและการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว เต็มศักยภาพ ภาครัฐจําเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเห็นควรกําหนดกรอบวงเงินเพื่อรองรับสถานการณ์ไว้ไม่เกิน 700,000 ล้านบาท สําหรับใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรค และวัคซีนที่ยังมีความจําเป็นในช่วง ที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการกระจายวัคซีนให้กับประชากรตามแผน และการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและ ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจ รักษาการจ้างงาน และการบริโภคภายในประเทศได้อย่างต่อเนื่องในระยะ 1 ปีข้างหน้า 

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สําหรับการบริหารความเสี่ยงของผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้และสภาพคล่องของรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่ากรอบวงเงินที่เสนอจะช่วยทําให้เศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่ สศค. ประมาณไว้อีก ประมาณ 1.5% โดยมีกรอบการใช้จ่ายเงิน ดังนี้

1. แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ โควิด 19 วงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรค วัคซีน และการวิจัยพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงสถานพยาบาลสําหรับ การบําบัดรักษาผู้ติดเชื้อโควิด19

2.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ ประชาชนและผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่วงเงิน 400,000 ล้านบาท 
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมให้สามารถดําเนินธุรกิจต่อเนื่องได้

3. แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับ ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่วงเงิน 270,000 ล้านบาท 
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับ แผนงาน/โครงการเพื่อรักษาระดับการจ้างงานของผู้ประกอบการและกระตุ้นการลงทุน และการบริโภค ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

กระทรวงการคลังได้พิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่สามารถนํามาใช้เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด19 พบว่ามีข้อจํากัด ดังนี้

1. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้เสนอตั้งงบกลาง รายการที่ใช้รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19และสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ จํานวน 2รายการ ประกอบด้วย

  • รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้ตั้งกรอบวงเงินไว้ จํานวน 40,325.5 ล้านบาท และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ใช้จ่าย งบประมาณดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนค่าใช้จ่าย ในการจัดซื้อวัคซีน ซึ่งปัจจุบันได้มีการทยอยเบิกจ่ายงบประมาณรายการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จึงอาจไม่เพียงพอ สําหรับการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ที่ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ การแพร่ระบาดได้
  • รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ซึ่งได้ตั้งกรอบวงเงินไว้ จํานวน 99,000 ล้านบาท และคณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ช่วงต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติและสาธารณภัยต่าง ๆ อีกทั้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ภัยแล้ง อุทกภัย และภัยพิบัติอื่น เป็นต้น ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือ ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

 

2. การโอนงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2564 ของส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ ในรายการที่ยังไม่มีความจําเป็นต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อาทิ รายการ งบประจําอื่นที่ไม่จําเป็น และรายการงบลงทุนที่ยังไม่มีการผูกพันสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง มาไว้เพิ่มเติมในรายการ งบกลาง รายการสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น 

พบว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สํานักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยรับงบประมาณ ตามแผนการใช้งบประมาณจริงในแต่ละไตรมาส จึงทําให้ หน่วยรับงบประมาณไม่มีเงินคงเหลือที่จะนํามาจัดทําพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2565

3.เงินทุนสํารองจ่ายตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ วงเงิน 50,000 ล้านบาท ได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจํานวน 25,000 ล้านบาท ทําให้มีวงเงิน คงเหลือ จํานวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอสําหรับรองรับการแก้ไขปัญหาจากการระบาด ประกอบกับจําเป็นต้องสํารองไว้เป็นวงเงินฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

4.การจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไม่สามารถ ดําเนินการได้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีข้อจํากัด และได้รับผลกระทบ จากการระบาดของ

ประกอบกับปัจจุบันวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ เหลือกรอบวงเงินกู้ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจํากัด และอาจจําเป็นต้องใช้วงเงินกู้ดังกล่าวในกรณีการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามประมาณการอันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาด

ดังนั้น รัฐบาล จึงไม่สามารถดําเนินการจัดหางบประมาณผ่านแนวทางดังกล่าวได้

5. การใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2565 เพื่อรองรับ สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ อาจไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2565 จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 จึงไม่อาจใช้รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและจําเป็นในกรณีเร่งด่วนได้

 

ความเร่งด่วนของเรื่อง 

กระทรวงการคลัง เห็นว่า การระบาดของโควิด19 ยังคงส่งผลกระทบ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศยังคงมีความต้องการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูและ ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ประกอบกับข้อจํากัดของการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟูและ ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมถึงข้อจํากัดของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เกี่ยวกับกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ไม่เพียงพอ 

รัฐบาลจึงมีความจําเป็นต้องมีกรอบวงเงินกู้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของและเพื่อบริหารสภาพคล่องทางการคลัง ซึ่งถือเป็นกรณีที่รัฐบาลต้องดําเนินการเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นสถานการณ์ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็น รีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ 

ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเห็นควรเสนอร่างพระราชกําหนดให้อํานาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019พ.ศ. .... โดยมีกรอบวงเงินกู้ไม่เกิน 700,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด19 และบริหารสภาพคล่องทางการคลัง 

 

ข่าวเกี่ยวข้อง :