สยามคูโบต้า แก้ปัญหาการเผาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน เริ่มเดินหน้าโครงการด้วยการส่งเสริมชาวนาไทย ทำเกษตรปลอดการเผา เพิ่มมูลค่าฟางข้าวเหลือทิ้งเป็นรายได้เสริม ไถกลบตอซังเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แปลงนา พร้อมจับมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. ให้ความรู้และสนับสนุนการทำนาข้าวด้วยเครื่องจักรกลแบบครบวงจร ภายใต้โครงการ Zero Burn เกษตรปลอดการเผา ตอน ชาวนาไทยไร้ฝุ่นควัน
นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า มลพิษที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการเผาในที่โล่งกว่า 50% โดยเฉพาะในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน สถานการณ์จะหนักในช่วงพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม ส่วนในภาคกลางมักจะได้รับผลกระทบจากการเผาตอซังในนาข้าว เนื่องจากเป็นแหล่งปลูกข้าวในเขตชลประทานที่ทำนาปีละ 2 ครั้ง ซึ่งปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน เพื่อลดปัญหาการเผาจากภาคการเกษตร จึงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การดำเนินการควบคุมการเผาตอซังข้าวในพื้นที่เกษตรกรรมและควบคุมการเผาในที่โล่ง โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งเจ้าหน้าที่เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการหยุดเผาในพื้นที่เกษตร สร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผาให้ถ่ายทอดความรู้และพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในชุมชนให้นำเทคโนโลยีนวัตกรรมเกษตรจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ทดแทนการเผา ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร ได้รับความร่วมมือจากบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดตั้งโครงการ Zero Burn เกษตรปลอดการเผา ขึ้น เพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทยทำการเกษตรแบบไม่เผา ด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรอย่างครบวงจรในพืชที่กระทรวงดูแลรับผิดชอบอยู่ ได้แก่ ข้าวและข้าวโพด โดยตั้งเป้าพื้นที่เกษตรของไทยกว่า 140 ล้านไร่ให้เป็นเกษตรปลอดการเผา 100% ภายใน 3 ปี
นายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวปีละประมาณ 70 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.40 ของพื้นที่ทำการเกษตร ในแต่ละปีมีฟางข้าวเหลือทิ้งในนาเฉลี่ย27 ล้านตัน และมีตอซังข้าวที่ตกค้างอยู่ในนาข้าวประมาณ 18 ล้านตัน ซึ่งฟางข้าวและตอซังข้าวเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีปริมาณมากที่สุดเมื่อเทียบกับตอซังพืชอื่น โดยในพื้นที่ปลูกข้าว 1 ไร่ มีปริมาณฟางข้าวและตอซัง โดยเฉลี่ยปีละ 650 กิโลกรัม นับเป็นปัจจัยหลักที่เกษตรกรส่วนมากนิยมเผาตอซังข้าวเพื่อให้เกิดความสะดวกในการไถเตรียมดิน ง่ายต่อการกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืช ซึ่งวิธีดังกล่าวจะทำให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนไป สูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาทต่อปี แต่หากเปลี่ยนเป็นวิธีไถกลบตอซังข้าวในพื้นที่ 1 ไร่ จะเป็นการเพิ่มธาตุอาหารหลักลงในดิน ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม คิดเป็นมูลค่า 900 บาท/ไร่ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ อีกทั้งทำลายจุลินทรีย์และแมลงที่เป็นประโยชน์ การเผาตอซังพืชทำให้ผิวดินมีอุณหภูมิสูงถึง 90 องศาเซลเซียส ทำให้สูญเสียน้ำในดิน ส่งผลให้ความชื้นในดินลดลง โดยกรมการข้าวได้จัดโครงการรณรงค์งดเผาฟางและไถกลบตอซังพืชอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงผลกระทบจากการเผาฟาง ชี้ให้เห็นถึงข้อดีของการไถกลบตอซังพืชที่สามารถช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพ ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ง่ายต่อการเตรียมดิน เพิ่มธาตุอาหารทางเคมีตรงตามที่พืชต้องการ ต้านทานความเป็นกรด-ด่าง และยังช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน อีกทั้งนำฟางข้าวไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น คลุมดินทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้เอง หรืออัดฟางก้อนไปขายเพื่อเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงโค นอกจากนี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากฟางข้าว เพื่อสร้างรายได้เสริมทดแทนการเผาอีกด้วย สำหรับโครงการ Zero Burn เกษตรปลอดการเผา ตอน ชาวนาไทยไร้ฝุ่นควัน จะเป็นการเข้าไปให้ความรู้แก่เกษตรกรชาวนาในการเก็บเกี่ยวข้าวหลังฤดูกาลเพาะปลูก ร่วมถึงการทำเกษตรปลอดการเผาด้วยการไถกลบตอซัง และนำฟางข้าวที่เหลือทิ้งมาอัดเป็นฟางก้อนเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรด้วยเครื่องจักรกลการเกษตร โดยจะเน้นในพื้นที่เกษตรที่มีการเผาสูง หรือจุด Hotspot 10 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อยับยั้งการเกิดจุดความร้อนเพิ่มขึ้น และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางอากาศ
นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงที่มาของโครงการ Zero Burn เกษตรปลอดการเผา ว่า บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาในภาคการเกษตรอย่างเร่งด่วน จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย
กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน พร้อมด้วยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดโครงการ “Zero Burn เกษตรปลอดการเผา” ขึ้น เพื่อรณรงค์ให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบไม่เผา ในพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าว อ้อย และข้าวโพด พร้อมลงพื้นที่สนับสนุนการทำเกษตรด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรแบบครบวงจร และให้ความรู้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของอินทรียวัตถุ การรักษาความชื้นในดิน เพื่อการทำเกษตรอย่างยั่งยืนด้วยองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้เกษตรกรมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะใช้ระยะเวลาดำเนินงานร่วมกันในทุกภาคส่วน 3 ปีหลังจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เกษตรปลอดการเผา100%
โครงการ Zero Burn เกษตรปลอดการเผา จะเริ่มรณรงค์จากเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายใต้ชื่อ ตอน “ชาวนาไทยไร้ฝุ่นควัน” ซึ่งหลังการเก็บเกี่ยวข้าว เศษวัสดุเหลือใช้จากนาข้าวทั้งฟางข้าวและตอซังข้าว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อชาวนาเป็นอย่างมาก หากเกษตรกรมีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาใช้งานอย่างครบวงจร ในส่วนของฟางข้าว เกษตรกรสามารถเพิ่มมูลค่าของฟางข้าวได้ด้วยการอัดฟางข้าว โดยก้อนฟางเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงสัตว์ อาทิ โคนม โคเนื้อ สัตว์เคี้ยวเอื้องเพื่อการพาณิชย์ ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนสำหรับฟาร์มโคเนื้อ ตลอดจนสร้างรายได้เสริมด้วยการใช้เครื่องอัดฟางอีกด้วย นอกจากนี้หากมีการฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ ที่ผ่านกรรมวิธีการหมักผสมสารเร่งซุปเปอร์ พด. 2 ซึ่งเป็นสารจุลินทรีย์ที่ผลิตโดยกรมพัฒนาที่ดิน มีคุณสมบัติในการย่อยสลายวัสดุการเกษตรในลักษณะสด อวบน้ำ หรือมีความชื้นสูงเพื่อผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพ
สุดท้ายเป็นการไถกลบตอซังข้าว ช่วยลดปัญหาฟางหมุน ปรับตั้งได้ตามความเหมาะสมในการใช้งานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะช่วยทำให้ดินมีความโปร่ง ร่วนซุย ดินมีการระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ง่ายต่อการเตรียมดินในการเพาะปลูกครั้งต่อไป ด้วยวิธีการใช้รถดำนาและรถหยอดข้าว ทดแทนการทำนาหว่าน ในโครงการ Zero Broadcast เพื่อส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวคุณภาพสูง ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า