กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วม รณรงค์ สวมหน้ากากและยกระดับมาตรการการป้องกันโควิด 19 “ขนาดยักษ์...ยังสวมเลย” กระตุ้นคนไทยสวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน
พร้อมเน้นย้ำสนามบินคุมเข้มตามมาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่เดินทางโดยเครื่องบิน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยได้ร่วมกับทอท.รณรงค์สวมหน้ากากและยกระดับมาตรการการป้องกันโควิด 19 “ขนาดยักษ์... ยังสวมเลย”
โดยสวมหน้ากากให้กับประติมากรรมรูปยักษ์ ประดิษฐานภายในโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบิน ทั้งที่สุวรรณภูมิและดอนเมืองในแต่ละวัน มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ที่ต้องเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการภายในสนามบินจึงต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
ตั้งแต่อาคารสถานีผู้โดยสาร จัดให้มีการคัดกรองผู้โดยสาร โดยควบคุมบริเวณทางเข้าออก พร้อมลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ให้เพียงพอ มีการทำความสะอาดบริเวณสถานี และจุดสัมผัสร่วมบ่อย ๆ เช่น เคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ราวบันได เบาะนั่ง พนักพิง จัดระยะห่างระหว่างรอคิวมากกว่า 1 เมตร ทั้งบริเวณผู้โดยสารขาเข้าและผู้โดยสารขาออก
รวมทั้งห้องส้วมภายในอาคารผู้โดยสารที่ต้องทำความสะอาดทุก ๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะ 7 จุดเสี่ยงในส้วม ได้แก่ สายฉีดชำระ ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ลูกบิดหรือกลอนประตู ที่รองนั่งโถส้วม พื้นห้องส้วม และที่เปิดก๊อก
สำหรับผู้ให้บริการภายในสนามบินต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน ล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ ระหว่างที่ให้บริการและหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ จาม ให้งดปฏิบัติงาน
ส่วนผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ในสนามบิน และขณะโดยสารภายในเครื่องบินเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารบนเครื่อง โดยอาจจะนำกลับไปกินที่บ้านแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการไม่สวมหน้ากากขณะกินอาหารได้
ทั้งนี้ผลการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในการป้องกันโรคโควิด -19 ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 7-11 ธันวาคม 2563 จำนวน 23,511 คน พบว่า ประชาชนมีความกังวลต่อสถานการณ์โควิด 19 เพิ่มมากขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 23–27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จากร้อยละ 23.30 เป็นร้อยละ 33.60 และมีความกังวลระดับปานกลาง ร้อยละ 37
ในส่วนของการสวมหน้ากากนั้นพบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมสวมหน้ากากเป็นประจำเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 2 จากร้อยละ 81.21 เป็นร้อยละ 86.09 มีการล้างมือด้วยสบู่และน้ำเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 77.77 เป็นร้อยละ 80.93 และมีการรักษาระยะห่าง จากร้อยละ 62.76 เป็นร้อยละ 67.65
“จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เพราะหากไม่สวมหน้ากากป้องกัน จะมีความเสี่ยงในการรับเชื้อสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่หากทุกคน สวมหน้ากากป้องกันจะมีความเสี่ยงเพียงแค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จัดรณรงค์สวมหน้ากากและยกระดับมาตรการการป้องกันโควิด 19 “ขนาดยักษ์...ยังสวมเลย” ครั้งนี้ขึ้น เพื่อกระตุ้นคนไทยสวมหน้ากากทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน ลดการแพร่เชื้อโควิด 19 ให้กับสังคมไทยร่วมกัน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ด้าน น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางภายในประเทศนั้น ได้มีมาตรการคัดกรองตั้งแต่ก่อนเข้าสนามบินด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน ซึ่งบางสนามบินเครื่อง จะมีโปรแกรมตรวจจับใบหน้า หากมีไข้หรือไม่สวมหน้ากากจะส่งสัญญาณเตือน มีจุดบริการล้างมือ หรือเจลแอลกอฮอล์ ผู้ที่อยู่ภายในสนามบินทุกคนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา นั่งเว้นระยะห่างตามจุดที่กำหนด มีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้า Gate
ขณะอยู่บนเครื่อง ทุกคนต้องสวมหน้ากาก หากมีอาการป่วยจะแยกไปนั่งแถวหลังท้ายเครื่องที่จัดเตรียมไว้ และเมื่อถึงสนามบินปลายทางจะได้รับการตรวจคัดกรองก่อนออกจากสนามบิน และติดตามตัวด้วยแอปพลิเคชัน AOT Airport
พล.อ.ไตรเทพ ศรีพันธุ์วงศ์ ประธานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงประจำท่าอากาศยาน (ศปม.ทย.) ได้ดำเนินงานตามนโยบายของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่ได้ปฏิบัติภารกิจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยการประสานความร่วมมือจากส่วนที่เกี่ยวข้องในการอำนวยการ ประสานงาน กำกับดูแล และให้การสนับสนุนช่วยเหลือ การปฏบัติของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการคัดกรองผู้ที่เดินทาง เข้าประเทศที่ผ่านเข้ามาคัดกรองตามระบบตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงสาธารณสุข
การวางแผนระบบความคุม ติดตาม การเคลื่อนย้าย การระวังป้องกัน การรวบรวม และคัดแยกผู้เดินทางทางขึ้นยานพาหนะไปส่งยังสถานที่ควบคุมเพื่อสังเกตอาการแห่งรัฐ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับผู้เดินทางและประชาชน ซึ่งสถานภาพในปัจจุบันเป็นที่น่าพึงพอใจ สามารถคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงและผู้ติดเชื้อและกำกับดูแลได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามในการยกระดับมาตรการการสวมหน้ากากในการป้องกัน นับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะป้องกันและควบคุมการระบาดได้อย่างดีร่วมกับมาตรการอื่น ๆ เช่น การล้างมือบ่อย ๆ และการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความมั่นใจสูงสุดในการควบคุมการระบาดของโรค