นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า การเปิดตัวโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพันธกิจด้านความยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายของเนสท์เล่ระดับโลกในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ตลอดจนลดการใช้พลาสติกที่ผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2568 และมีแผนงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593
ในฐานะผู้นำด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เนสท์เล่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูงและโภชนาการเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่เรายังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตและการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โรงงานยูเอชทีแห่งใหม่นี้จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นจากอาหารที่ดีซึ่งจะช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับดูแลรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลัง
โรงงานแห่งใหม่นี้ ถือเป็นตัวอย่างความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า นอกจากนี้ ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจให้กับชุมชน ผ่านการจ้างงาน เกิดการพัฒนาทักษะของแรงงานในท้องถิ่นให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ได้เริ่มต้นการผลิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และใช้เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,530 ล้านบาท
ด้าน นายไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการสำหรับผู้ใหญ่บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 จะผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีภายใต้แบรนด์ไมโล และนมตราหมี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักของเนสท์เล่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค พร้อมคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่แห่งคุณค่า ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนาเครื่องโฮโมจีไนเซอร์ ที่ใช้ในการผลิตไมโล โดยเทคโนโลยีเมมเบรน แทนระบบเก่าที่เป็นแบบลูกสูบ ส่งผลให้มีการใช้พลังงานน้อยลงและลดความถี่ในการซ่อมบำรุง
การใช้ Heat Recovery System เพื่อนำความร้อนจากไอน้ำและน้ำร้อนที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการใช้พลังงาน นอกจากนั้น โรงงานยังเลือกใช้สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายชั้นโอโซนในระบบการทำความเย็นของโรงงาน และยังมีการวางระบบจัดการของเสียและน้ำเสียจากการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพตามประเภทของขยะ เช่น การนำไปรีไซเคิล การนำไปสร้างเป็นพลังงานใหม่ และการนำไปทำปุ๋ย ทำให้ไม่มีของเสียไปฝังกลบ การใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เช่น การนำหลอดกระดาษแบบโค้งงอได้มาใช้กับผลิตภัณฑ์ไมโลยูเอชที
รวมถึงลดปริมาณการใช้กระดาษลูกฟูกในการบรรจุสินค้า ด้วยการออกแบบกล่องให้เป็นแบบWrap Around แทนกล่องพับฝาชนทั่วไป จนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค ผ่านโครงการ“กล่องนมรักษ์โลก” ซึ่งเป็นกิจกรรมให้ความรู้กับนักเรียนในโรงเรียนนำร่องเกี่ยวกับการจัดการบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีภายหลังการบริโภคอย่างถูกวิธี รวมทั้งมีกระบวนการเก็บบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง
“จากความใส่ใจดังกล่าว ทำให้โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งนี้ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4,420 จิกะจูล/ปี หรือเทียบเท่าการเปิดเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU ตลอด 24 ชม. นานถึง77 ปี นอกจากนี้ จากการนำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เราสามารถประหยัดกระดาษไปได้ 752 ตัน หรือเท่ากับกระดาษ A4 150 ล้านแผ่น พร้อมลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 142 ตัน เท่ากับถุงพลาสติก 26 ล้านใบทุกปี” นายไชยงค์ กล่าว
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีโภชนาการเหมาะสมโดยใช้หลัก 60/40+ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 60% จะต้องมีความพึงพอใจในรสชาติของผลิตภัณฑ์เนสท์เล่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบที่โดดเด่นในท้องตลาดพร้อมเพิ่มเติมคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีแอกทีฟไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งนี้ ยังมีแผนที่จะนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในปี 2564 โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่หลังคาโรงงานและที่จอดรถ รวมไปถึงมีแผนจะเปลี่ยนมาใช้กาวกันกล่องลื่นทดแทนการใช้ฟิล์มพลาสติกที่ใช้ยืดพันพาเลทในขั้นตอนการขนส่ง พร้อมทั้งลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ด้วยการใช้ฟิล์มหุ้มบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 30%