“สมคิด” จี้กระทรวงพลังงาน เร่งเจรจาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ให้ได้ข้อยุติปี 2565 พร้อมเปิดสัมปทานในประเทศรอบใหม่ในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 17 แปลง ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานอาเซียน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กระทรวงพลังงาน วันที่ 15 สิงหาคม 2562 หนึ่งในนโยบายที่มีความสำคัญและเร่งด่วน จะเป็นการเจรจาหายุติข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อเริ่มต้นการเข้าไปสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากมีความล่าช้ามาหลายปีแล้ว
นอกจากนี้ การหาแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมใหม่เพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อความมั่นคงพลังงานของประเทศ ที่จะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานอาเซียนในอนาคต
“การจัดหาพลังงานมีความสำคัญ เพราะไม่ใช่เพียงการบริหารพลังงานแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเท่านั้น ในเชิงยุทธศาสตร์ต้องมองระดับภูมิภาคด้วย เพราะไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ สามารถเป็นศูนย์กลางเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนได้”
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ขณะเดียวกันเรื่องการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงาน เป็นมิติด้านเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มอบเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเรื่องค่าพลังงาน หรือแม้แต่ระบบภาษีจะใช้มาตรฐานเดียวกันระหว่างคนมีรายได้น้อย กับคนรวยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จะใช้มาตรฐานแบบต่างชาติกำหนดไม่ได้ ควรดูให้เหมาะกับทางปฏิบัติกับสังคมไทยมากกว่า
นอกากนี้ กองทุนด้านพลังงานที่มีอยู่ เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่ งอดีตเคยแบกหนี้นับแสนล้านบาท ปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง มีเงินสะสมอยู่ในกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งรวมถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ก็น่าจะใช้เวลาช่วงนี้เป็นโอกาสนำงบที่มีอยู่ตามกองทุนพลังงานต่างๆ ไปพัฒนานโยบายด้านพลังงานทางเลือกเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
อีกทั้ง การสนับสนุน Start Up ด้านพลังงานถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตัวอย่างในจีนก็เติบโตมาได้ด้วย Start Up ที่มีนับแสนราย ซึ่งคนรุ่นใหม่จะมีส่วนช่วยคิดค้น มองศักยภาพการพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ ควรนำ Smart Farmer ที่ ธกส.มีข้อมูลอยู่ประมาณหมื่นกว่ารายมาร่วมงานเพื่อสานต่อให้เกิดรูปธรรมต่อไป
ส่วนเรื่อง Big Data ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลเหมือนตาบอดคลำช้าง มีข้อมูลต่างๆที่ยังไม่เชื่อมโยงอย่างจริงจัง ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จำนวนน้อย แต่ปัจจุบันมีกลไกต่างๆ ในการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น ทั้งระบบพร้อมเพย์ที่กำลังพัฒนาได้ทั้งรับและจ่าย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้จะเริ่มเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น จะทำให้การวางนโยบายตอบสนองความต้องการของประชาชนและพลังงานได้ตรงจุดมากขึ้น
พร้อมมอบภารกิจ ให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และรัฐวิสาหกิจในเครือเป็นหัวหอกด้านการจัดทำโมเดลธุรกิจให้ชาวบ้านหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น ผ่านช่องทางปั๊มน้ำมันของปตท. โดยเปิดให้เป็นสถานที่กลางในการซื้อขายสินค้าของชาวบ้าน ซึ่งรวมถึงเรื่องปุ๋ยที่เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรด้วย หรือโมเดลการทำธุรกิจห้องเย็นสำหรับเก็บรักษาผลไม้ในแหล่งที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ที่จ.ระยอง และชุมพร โดยมองว่า ปตท.และรัฐวิสาหกิจในเครือ จะต้องมีบทบาทเป็นหน่วยงานที่จรรโลงสังคมด้วย ไม่ใช่องค์กรเพื่อแสวงกำไรอย่างเดียว ซึ่งหากได้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้คืนกลับสู่สังคม ปตท.ก็จะถูกโจมตีน้อยลง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้เร่งดำเนินการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อให้เกิดการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการบ้างแล้ว แต่เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีความอ่อนไหวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นจะต้องรอให้เกิดความชัดเจนก่อนจึงจะชี้แจงความคืบหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเป็นความตั้งใจของตัวแองที่จะเดินหน้าเจรจาให้เกิดผลสำเร็จภายในปี 2565 นี้ หรือภายในช่วงที่ยังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และจะมีการเร่งรัดการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปข้อมูล เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2563
ขณะที่ภาพรวมนโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี มอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินการ ว่า มี 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การลดความเหลื่อมล้ำ 2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลไกด้านพลังงานไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนผ่านโครงสร้างพลังงานชุมชน จากความร่วมมือของชุมชนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ SMEs เพื่อช่วยลดภาระพี่น้องประชาชน โดยดำเนินการให้สอดรับกับแผนและนโยบายของกระทรวงพลังงาน รวมถึงการยกระดับชุมชนที่นอกเหนือจากเรื่องพลังงาน ซึ่งกระทรวงพลังงานจะร่วมกับ ปตท. ในการศึกษาเรื่องการเป็นสหกรณ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าชุมชน ยกระดับทั้งแพ็กเกจจิ้ง แบรนด์ดิ้ง จากมาเก็ตเพลสเป็นระดับอีคอมเมิร์ซ
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้จัดทำแนวทางการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ของไทย ในเบื้องต้นแล้ว โดยจะเปิดไม่น้อยกว่า 17 แปลง แบ่งเป็นในพื้นที่อ่าวไทย รวม 10 แปลง และพื้นที่บนบกในภาคคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แปลงและภาคกลาง 1-2 แปลง โดยจะพิจารณาว่าแปลงใดมีความพร้อมก็จะเปิดประมูลก่อน ซึ่งจะไม่ได้เปิดประมูลพร้อมกันทั้งหมดแต่อย่างใด โดยตามกฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตเลียม กำหนดให้การเปิดสัมปทานในพื้นที่อ่าวไทยจะต้องใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต(PSC) และบนบก จะต้องใช้ระบบสัมปทาน โดยพิจารณาจากปริมาณก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะค้นพบ
นายกุลิศ สมบัติศิริ
ขณะที่ภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าด้านพลังงานมี 6 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย การกำหนดรูปแบบการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้าน LPG และ NGV การระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งติดตั้งในกิจการปิโตรเลียม การชี้แจงต่อผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า การกำหนด Road Map ของน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มดีเซล B10 และ B20 การจัดประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน (AMEM) 2 - 6 กันยายน 2562 และการหาข้อยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 1.5 ล้านตันของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ส่วนวิสัยทัศน์ของกระทรวงพลังงานที่สำคัญมี 3 ประการคือ 1.พลังงานเพื่อทุกคน (Energy For All) 2.บริหารจัดการพลังงานด้วยเทคโนโลยี Big Data และAI (Artificial Intelligence) และ 3.เป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียน ซึ่งในการเดินไปสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะต้องดำเนินการในด้านต่างๆ ทั้งการสร้างสมดุลด้านเชื้อเพลิง การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซียน การสร้างรายได้ให้ชุมชน การช่วยเหลือประชาชนรอบโรงไฟฟ้า การจัดหาพลังงานอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน การดูแลค่าครองชีพด้านพลังงาน รวมถึงการมีนวัตกรรมรองรับพลังงานรูปแบบใหม่