ผู้สื่อข่าวรายงาน(24 ก.ย.2563)ว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว./เอสเอ็มอีแบงก์) ได้โชว์ความคืบหน้าการอนุมัติสินเชื่อผ่านโครงการสนับสนุนSMEs รายย่อยให้กับผู้ประกอบการ พร้อมเตือนให้ผู้ประกอบการเฝ้าระวังมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของผู้อนุมัติสินเชื่อ เว็บไซต์ข่าวปลอมที่มีข้อความด้านการขอสินเชื่อที่ดึงดูดใจการอ้างเป็นตัวแทนในการนำพาเข้าถึงสินเชื่อโดยมีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม รวมถึงกลโกงในรูปแบบคอลเซ็นเตอร์
โดยนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สสว.เผยว่า ตามที่ สสว.ได้ร่วมกับเอสเอ็มอีแบงก์ ดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ซึ่งได้ดำเนินมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 นั้น ล่าสุดโครงการดังกล่าวมีผู้ประกอบการยื่นสมัครสินเชื่อจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนอยู่ในสถานะการพิจารณาคำขอและอยู่ในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อกว่า 5,000 ราย เชื่อว่าจะช่วยให้SMEs มีสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนที่ดีมากขึ้นส่งผลถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานได้ในลำดับต่อไป
สำหรับโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย เป็นโครงการสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่ต้องการมีแหล่งเงินทุนเพื่อการฟื้นฟูและขยายธุรกิจและลดปัญหาการเข้าไม่ถึงสินเชื่อให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นอีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะในการนำไปพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อลดปัญหาการปิดกิจการและการจ้างงานและเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว
ทั้งนี้ รายละเอียดของวงเงินสินเชื่อนั้นแบ่งเป็นบุคคลธรรมดาวงเงินกู้ไม่เกิน 5 แสนบาทและนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี สามารถผ่อนชำระสูงสุดได้ถึง 7 ปี และเวลาปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดย SMEs ที่ประสงค์ขอสินเชื่อต้องไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โครงการเงินทุนพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ และต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
นายวีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาหลายปัจจัยได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบทั้งในด้านการจ้างงานการขยายธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่สถานการณ์เหล่านี้กระทบไปถึงภาพรวมการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องเร่งช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจดังกล่าวอย่างเร่งด่วนในขณะนี้คือ การผลักดันให้เข้าถึงมาตรการสนับสนุนและเยียวยาโดยเฉพาะในด้านสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ
นอกเหนือจากนี้ยังจำเป็นต้องชี้ให้เห็นถึงช่องทางการเข้าถึงหน่วยงานที่สามารถให้การช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มยอดขาย การทำตลาด การลดโอกาสการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ต่อเนื่องไปถึงการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจที่หยุดพักการดำเนินงานในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตและให้บริการได้อีกครั้ง “อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนมาตรการป้องกันโควิด-19 ในระยะปัจจุบันรวมถึงมาตรการในการสนับสนุนสินเชื่อของหน่วยงานและสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้เริ่มทำให้เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจ SMEs ซึ่งเชื่อว่าจนถึงปลายปีนี้จะค่อย ๆเห็นภาคดังกล่าวมีความสดใสเพิ่มมากขึ้น
“ในส่วนของ สสว. ยังคงมุ่งที่จะสนับสนุน SMEsทั้งในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สินเชื่อ องค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจในแต่ละรายสาขารวมถึงกิจกรรมที่สามารถช่วยให้ SMEs ยังสามารถรักษาระดับการจ้างงานช่วยลดการปิดกิจการ หรือทำให้กิจการที่ต้องหยุดพักทั้งในภาคการผลิตและการบริการสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังจะเร่งสรรหาแนวทางรวมถึงดึงความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งที่เป็นสถาบันการเงิน ภาคการศึกษาและภาคธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อให้การส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการเป็นไปอย่างครอบคลุมและครบทุกมิติ”
สำหรับในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันยังมีสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเฝ้าระวังเพิ่มเติมคือมิจฉาชีพที่อาจแฝงมาในนามของผู้ให้และผู้อนุมัติสินเชื่อโดยเฉพาะเว็บไซต์ปลอมที่มักจะอาศัยประโยชน์จากข้อความที่ดึงดูดความสนใจให้คลิกเข้าไปชมเกี่ยวกับข้อมูลด้านการเงินที่บิดเบือนจากความเป็นจริงซึ่งจะสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจขอสินเชื่อ รวมถึงลูกค้าธนาคารต่าง ๆ พร้อมด้วยการอ้างตัวเป็นตัวแทนในการพาเข้าถึงสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขในการเสียค่าธรรมเนียมและค่าดำเนินการ
“ขอย้ำว่าโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ของสสว.นั้นไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น และอีกรูปแบบคือกลโกงที่มาในคราบของคอลเซ็นเตอร์ที่ส่วนใหญ่ปลายสายมักอ้างตัวเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อการหลอกโอนเงินผิด หรืออ้างว่ามีผู้นำเอกสารไปขอวงเงินสินเชื่อแล้วให้โอนเงินกลับมายังบัญชีของมิจฉาชีพเพื่อทำการตรวจสอบหรือคืนเงินที่มีผู้โอนไปผิด ดังนั้น ช่วงนี้จึงอยากให้ตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางสถาบันการเงินและหน่วยงานของรัฐที่เชื่อถือได้เท่านั้น”นายวีระพงศ์ กล่าวย้ำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“สสว.” ดีเดย์ 1 ต.ค. ขึ้นทะเบียน SMEs เจาะตลาดจัดซื้อภาครัฐ