ผู้ใช้เฮ ลดค่าเอฟที ค่าไฟฟ้า ถูกลง 2.89 สตางค์ต่อหน่วย

05 พ.ย. 2563 | 03:30 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2563 | 12:15 น.

“กกพ.” มีมติปรับลดค่าเอฟทีงวดมกราคม-เมษายน 64 เหลือ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งค่าถูกลง 2.89 สตางค์ต่อหน่วย

นายคมกฤช  ตันตระวาณิชย์  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 64 เหลือ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย  ลดลงจากการเรียกเก็บงวดก่อนหน้า (กันยายน-ธันวาคม 63) ที่ -12.43 สตางค์ต่อหน่วย

 

ทั้งนี้  ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าถูกลง 2.89 สตางค์ต่อหน่วย  หรืออยู่ที่ 3.61 บาทต่อหน่วย  จากที่ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้บริหารจัดการ  และตรึงค่าเอฟที  เพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยแม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น  ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มความต้องการก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นในตลาดโลก  แต่ด้วยการบริหารจัดการการนำเข้า LNG Spot ซึ่งมีราคาถูกกว่าราคาก๊าซในอ่าวในช่วงที่ผ่านมา  และสามารถทดแทนก๊าซในอ่าวได้บางส่วน  ทำให้ Pool Gas มีราคาถูกลง  ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซมีราคาถูกกว่าที่เคยประมาณการไว้

ผู้ใช้เฮ ลดค่าเอฟที ค่าไฟฟ้า ถูกลง 2.89 สตางค์ต่อหน่วย

“กกพ. ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ราคาเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มสูงขึ้น  สภาวะเศราบกิจที่อาจยังไม่ฟื้นตัวในระยะสั้น  ปัจจัยเสี่ยงในเรื่องความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน  รวมทั้งศักยภาพในการตรึงเอฟทีตลอดที่งปี 64 แล้ว จึงมีมติให้เรียกเก็บค่าเอฟทีในอัตรา -15.32 สตางค์ในรอบมกราคม-เมษายน 64”

 

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟที ในงวดมกราคม – เมษายน 64 ประกอบด้วย

1.ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 64 เท่ากับประมาณ 60,685 ล้านหน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม 63 ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 58,910 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 3%

2.สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 64 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 55.32% นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 14.92% ลิกไนต์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 9.47% ถ่านหินนำเข้า 8.31% และอื่นๆ อีก 8.14%

3.สถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยรวมราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยแต่ละประเภทเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา ยกเว้นราคาถ่านหินนำเข้าที่ปรับตัวลดลงจากงวดกันยายน – ธันวาคม 63

และ4.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (วันที่ 1 – 31 กันยายน 63) เท่ากับ 31.4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 63 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ