“สุริยะ” สั่ง กรอ.สานต่อโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหวังเติมทุนช่วยSMEs

11 พ.ย. 2563 | 04:05 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2563 | 11:02 น.

“สุริยะ” กำชับ "กรอ." เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลุยจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร สานต่อโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ดำเนินงานด้านการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร และมีโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่ทำมาทุกปี โดยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมติหลักการยกเว้นค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเครื่องจักร เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (Covid-19) โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

สำหรับรายละเอียดประกอบด้วย 3 รายการดังนี้คือ 1. ค่าจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร ปกติอัตราจัดเก็บอยู่ที่เครื่องละ 750 บาท แต่ไม่เกิน 12,000 บาท ,2. ค่าเครื่องหมายการจดทะเบียน ซึ่งเจ้าพนักงานได้ประทับหรือทำไว้ที่เครื่องจักร อัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมอยู่ที่เครื่องหมายละ 120 บาท แต่ไม่เกิน 1,200 บาท และ 3. ค่าคัดสำเนาเอกสารพร้อมด้วยคำรับรองว่าถูกต้องอัตราจัดเก็บอยู่ที่หน้าละ 10 บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประมาณการการสูญเสียรายได้จากการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมครั้งนี้ในรอบ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท

“สุริยะ” สั่ง กรอ.สานต่อโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหวังเติมทุนช่วยSMEs

“กระทรวงอุตสาหกรรมตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี (SMEs) ดังนั้นเพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จึงได้กำชับให้ กรอ. เร่งดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มีเงินทุนเข้าไปหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดการเลิกจ้างงาน พยุงภาคอุตสาหกรรมให้ยังสามารถทำหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาลด้วย”

ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 64 (ต.ค.63-ก.ย.64) กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรอ. ยังคงเดินหน้าโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งให้ความช่วยเหลือในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากขึ้น เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มอบหมายให้ กรอ. ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลโครงการ การจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ดี เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ประกอบการนำเครื่องจักรเข้ามาจดทะเบียนมากกว่า 1,300 ราย และมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำเครื่องจักรเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า 2,200 เครื่อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเงินลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรมากขึ้น 10-15%

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่นำเครื่องจักรเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกับ กรอ. นอกจากจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้แล้ว ยังได้รับสิทธิประโยชน์อีก 4 ด้าน คือ 1.สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสถาบันการเงิน 18 แห่ง ,2. เงินทุนหมุนเวียน ,3.ได้รับการยกเว้นภาษี และ 4.สิทธิประโยชน์อื่น ๆ อาทิ การยื่นคำขอจดทะเบียนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวก รวดเร็ว ลดเวลาดำเนินการ เป็นต้น 

นายสุริยะ กล่าวต่อไปอีกว่า ในปีงบประมาณ 2563 (ต.ค.62-ก.ย.63) พบว่า มีมูลค่าการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร ประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการยื่นจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร ทั้งสิ้น 1,157 ราย ในจำนวนนี้คิดเป็นเครื่องจักรที่จดทะเบียน ทั้งสิ้น 6,036 เครื่อง โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถนำเครื่องจักรดังกล่าวมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับสถาบันการเงินในระบบ คิดเป็นวงเงินจำนองประมาณ  8 หมื่นล้านบาท

โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการกว่า 107 ราย จำนวนเครื่องจักร 2,131 เครื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีการลงทุนในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 600 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3 ปี