"สุพัฒนพงษ์" ตั้งเป้าลงทุน "อีอีซี" ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาทปี 64

12 พ.ย. 2563 | 07:40 น.

"สุพัฒนพงษ์" วางเป้าหมายให้เกิดการลงทุนใน "อีอีซี" ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาทปี 64

นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 4/63 เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในปี 64 มีเป้าหมายที่จะดำเนินการให้เกิดการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท  ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน  โดยมีงบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพประมาณ 2 หมื่นล้านบาท  หรือประมาณ 20% ของงบประมาณภาครัฐ  ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินลงทุนจากภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้น  และหวังว่าปี 65 จะเกิดการลงทุนต่อเนื่องไป 

              ทั้งนี้  ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ EEC โดยเป็นการทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกษตร  โดยมีเป้าหมายยกระดับการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีที่ให้ผลผลิตที่สูงขึ้น  เข้าถึงตลาด  เน้นเรื่องการตลาดเพิ่มมูลค่าสินค้า  เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรให้ได้เทียบเท่ากับกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ 

\"สุพัฒนพงษ์\" ตั้งเป้าลงทุน \"อีอีซี\" ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาทปี 64

             อย่างไรก็ดี จะเป็นการมุ่งเน้นใช้ความต้องการตลาดนำ (Demand Pull) โดยพัฒนาสินค้าใหม่  ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกด้าน  ไม่ว่าจะเป็นเกษตร  นวัตกรรม  และภาคเอกชน  โดยจะมีเรื่องของการใช้เทคโนโลยีใหม่  ซึ่งจะมีกลุ่มหลักประกอบด้วย ผลไม้ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าผลไม้ในภาคตะวันออกเป็นที่ต้องการของตลาด  ซึ่งจะเป็นการเพิมมูลค่าให้เข้าถึงตลาดที่ดีกว่า  และให้ราคาที่ดีกว่ามากที่สุด  ,ประมงเพาะเลี้ยง  โดยจะเน้นเรื่องสมาร์ทฟาร์ม  สร้างอุตสาหกรรมอาหารต่อเนื่องให้เกิดขึ้น

              พืชชีวภาพ เชื่อมโยงความต้องการวัตถุดิบ  ,พืชสมุนไพร  ที่จะนำไปสู่อาหารเม็ดหรือยา  เครื่องสำอางก์  ปศุสัตว์  ซึ่งจะเป็นการแปรรูปโคคุณภาพสูง  เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรทั้งสิ้น เนื่องจากพื้นที่อีอีซีมีศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรม  แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังมีศักยภาพด้านการเกษตรวมอยู่ด้วย  โดยเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการชุดใหญ่  ได้มอบหมายให้อนุ กบอ.  ไปพิจารณาว่าจะยกระดับการเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวนี้ได้อย่างไร

นอกจากนี้  ยังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันโดยมีสำนักงาน กบอ. เป็นผู้ประสานงาน โดยจะทำความชัดเจนเรื่องดังกล่าวนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

              นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ.ยังได้มีการลงนามบันทึกจ้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท มีโอที จำกัด (มหาชน) ในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมรองรับ 5G ในพื้นที่อีอีซีเต็มรูปแบบ  โดยจะเริ่มก่อสร้างในทันทีและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน  ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาในอีอีซีได้ โดยมีพื้นที่นำร่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมมาบตาพุด  และอำเภอบ้านฉาง  จังหวัดระยอง  โดยมีการเตรียมบุคลากรทางด้านดิจิทัลไว้รองรับจำนวน 1 แสนคน  เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ระดับชุมชน  สร้างงาน  สร้างโอกาส  สร้างรายได้  และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ อีอีซี

              ส่วนในปี 65 จะมีความพร้อมที่จะเดินหน้าปฏิบัติการเชิงรุก  ทั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนบีโอไอ หรือบีโอไอ (BOI) และอีอีซี  โดยจะพยายามปิดโครงการหลักภายในปี 63  ซึ่งโครงการสุดท้ายจะเป็นท่าเรือที่แหลมฉบัง  โดยจะปิดประมาณเดือนธันวาคม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุนว่าประเทศไทยมีความพร้อมจากการลงทุน 6.5 แสนล้านในการเตรียมการเรื่องดังกล่าวไว้รองรับทางด้านสาธารณูปโภค  รวมถึงสาธารณูปการที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย

             

นายนฤตม์  เทิดสตรีศักดิ์ รองเลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีจำนวน 313 โครงการ มีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1.09 แสนล้านบาท  หรือประมาณ 49% ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ  โดยการลงทุนจากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 6.39 หมื่นล้านบาท  ซึ่งประเทศญี่ปุ่นลงทุนสูงสุดประมาณ 1.65 หมื่นล้านบาท  ส่วนอันดับ 2 เป็นเนเธอร์แลนด์ประมาณ 1.36 หมื่นล้านบาท และจีนเป็นอันดับ 3 ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท  โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท  ,ยานยนต์และชิ้นส่วนประมาณ 1.37 หมื่นล้านบาท  และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 7.86 พันล้านบาท

             อย่างไรก็ดีในส่วนของอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่  (New S-Cuve) เองก็เริ่มมีการลงทุนเข้ามาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพประมาณ 5.59 พันล้านบาท  และการแพทย์ประมาณ 1.6 พันล้านบาท  โดยหลังจากนี้จะมีการเจาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดการลงทุนที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่  หรืออุตสาหกรรมใหม่เข้ามามากขึ้น  เช่น 5G เมื่อเกิดขึ้นจะมีการลงทุนตามมาอีกเป็นจำนวนมาก  ซึ่งปัจจุบันบีโอไอส่งเสริมทั้งธุรกิจด้านดิจิทัลที่เป็นอีโคซิสเต็มส์  ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ให้บริการข้อมูลกลาง หรือดาต้าเซ็นเตอร์  การให้บริการจัดเก็บข้อมูล หรือคราวน์เซอร์วิซ  เป็นต้น