"คนละครึ่ง”-“ช็อปดีมีคืน” ดันดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมพุ่งเป็นเดือนที่ 7

17 ธ.ค. 2563 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2563 | 11:32 น.

ส.อ.ท. เผยมาตรการกระตุ้นกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ “คนละครึ่ง” “ช็อปดีมีคืน” ดันดัชนีความเชื่อมั่นอุตฯ พุ่งต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7

นายสุพันธุ์  มงคลสุธี  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 63 ว่า อยู่ที่ระดับ 87.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.0 ในเดือนตุลาคม 63 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อ ยอดขาย และปริมาณการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับตลาดในประเทศได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่องในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการคนละครึ่ง ช็อปดีมีคืน เราเที่ยวด้วยกัน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเงินช่วยเหลือเกษตรกร ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชนและ การใช้จ่ายในประเทศ รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการลงทุนต่างๆ ยังเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

\"คนละครึ่ง”-“ช็อปดีมีคืน” ดันดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมพุ่งเป็นเดือนที่ 7

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหาร สินค้าที่เกี่ยวกับการแพทย์และการป้องกันโรค และคำสั่งซื้อล่วงหน้าในกลุ่มสินค้าที่ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาทิ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องหนังฯ สินค้าเซรามิก เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังเร่งผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบก่อนช่วงเดือนธันวาคมที่มีวันหยุดในช่วงเทศกาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กูรู สุดทนโต้กลับข้อหา "คนละครึ่ง" แย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาล

เปิดโฉม “แอปเป๋าตัง” ยืนยันรับสิทธิคนละครึ่งเฟส1 500 สรุปจบที่นี่

อัพเดท "คนละครึ่ง" กับ "ช้อปดีมีคืน" เช็กที่นี่ ครบจบที่เดียว

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการลักลอบเข้าเมือง รวมถึงการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนตลอดจนการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกและรายได้จากการส่งออกลดลง นอกจากนี้ผู้ประกอบการส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าทำให้มีภาระต้องจ่ายอัตราค่าระวางเรือเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,258 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายน 63 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 70.5% ,อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 46.1% ,ราคาน้ำมัน 41.0%  และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 40.5% ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 55.0%

ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 94.1 จากระดับ 91.9 ในเดือนตุลาคม 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
              นายสุพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐก็คือ 1.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 64 และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ,2.ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถแข่งขันได้

,3.เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนส่งเสริมการนำตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้ามาในประเทศไทย โดยการปรับลดอัตราค่าภาระขนถ่ายและค่าภาระหน้าท่าสำหรับการนำเข้าตู้เปล่า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าตู้เปล่าเข้ามา ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้สายการเดินเรือนำเข้าตู้เปล่าเข้ามาเก็บไว้ในประเทศไทยมากขึ้น และยังจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจการบริการซ่อมแซมบำรุงรักษาตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยด้วย

และ4.ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโรคโควิด-19 หลังจากมีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน