ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศ ซึ่งโรงไฟฟ้ามินบูเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง เฉกเช่นกับโรงไฟฟ้าแห่งอื่นๆ ในประเทศเมียนมาร์ ฉะนั้น จึงมองว่าเรื่องการเมืองไม่กระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแต่อย่างใด โครงการจะดำเนินการและขายไฟฟ้าตามปกติ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้ามินบูดำเนินงานและรับรู้รายได้มาแล้วตั้งแต่ปลายปี 2019 และปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการเฟสที่ 2-4 ตามแผนที่วางไว้
นายฌอน-ศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META หนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักของ บริษัท กรีนเอิร์ธ พาวเวอร์ ไทยแลนด์ จำกัด (GEP) ผู้ดูแลโครงการโรงไฟฟ้ามินบู กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาร์ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารและการจัดการโครงการฯ การดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ทาง META ยังสามารถรับรู้รายได้จากงานก่อสร้าง ได้อย่างปกติตามสัญญาดำเนินงานและยังคงเป็นไปตามแผนดำเนินงาน
โครงการโรงไฟฟ้ามินบู ประเทศเมียนมาร์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ โครงการฯ มีผู้ร่วมลงทุนหลักคือ บมจ. สแกน อินเตอร์ (SCN) ถือหุ้น 40%, บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) ถือหุ้น 12%, บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ถือหุ้น 20% และ Noble Planet Pte. Ltd. (NP) ถือหุ้น 28% ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายแรกที่ได้รับอนุมัติให้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการแบ่งออกเป็น 4 เฟส โดย 3 เฟสแรก มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งเฟสละ 50 MW และ 70 MW สำหรับเฟสสุดท้าย