จากวัคซีนป้องกันโควิดที่รัฐจัดหาขณะนี้มีราว 63-70 ล้านโดส ซึ่งต้องฉีดให้ประชาชนคนละ 2 โดส หรือฉีดได้ 31-35 ล้านคน ซึ่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติรายงานว่าจะต้องฉีดให้กับประชาชนราว 40 ล้านคนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หมายความว่าจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มอีก 10 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับอีก 5 ล้านคน ล่าสุดรัฐบาลได้เตรียมวัคซีนทางเลือกโดยจะเปิดให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่น (นอกเหนือจากยี่ห้อที่รัฐจัดหามาคือ ซิโนแวค และแอสตราเซเนกา) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความหลากหลาย และประชาชนที่มีกำลังซื้อมีทางเลือก
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวทางให้เอกชนนำเข้าวัคซีนเข้ามาได้ถือเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งก็เห็นด้วย ทั้งนี้ผู้ได้ไลเซ่นส์นำเข้ายังต้องไปขึ้นทะเบียนขออนุญาตนำเข้าจากองค์การอาหารและยา (อย.) ว่านำวัคซีนยี่ห้อไหนเข้ามา โดยที่ต้องมีหลักประกันว่า ถ้าฉีดแล้วแพ้ มีผลข้างเคียง หรือมีอันตรายต่อผู้รับการฉีด ผู้นำเข้าหรือตัวแทนบริษัทวัคซีนในไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากรัฐบาลอนุมัติให้เป็นไปตามแนวทางนี้คาดหลังจากนั้นใน 1 สัปดาห์ หรืออย่างช้าใน 1 เดือนก็สามารถเอาเข้ามาได้
อย่างไรก็ดีการระบาดของโควิดรอบใหม่ที่ระบาดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิง กลุ่ม VVIP และลามไปยังประชาชนทั่วไป คาดใน 2 เดือนน่าจะเอาอยู่ เบื้องต้นคาดจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจประเทศได้รับความเสียหาย 50,000-100,000 ล้านบาท จากที่มีการล็อกดาวน์ในหลายจังหวัด ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน
“การระบาดในรอบใหม่นี้ส่งผลดี ทำให้คนตื่นตระหนก และเป็นตัวเร่งให้กล้าฉีดวัคซีนมากขึ้น ทั้งนี้ผลกระทบเศรษฐกิจแสนล้านเราไม่ห่วงมากถ้าใน 2 เดือนนี้เอาอยู่ เพราะรัฐบาลประกาศเตรียมออกมาตรการคนละครึ่งในเฟสที่ 3 ในเดือนพฤษภาคมนี้ ถ้ารัฐบาลปั๊มเงินออกมา 5 หมื่นล้าน ประชาชนสมทบจ่ายอีก 5 หมื่นล้านในการจับจ่ายก็เท่ากับ 1 แสนล้านที่จะออกมาหมุนเวียนในระบบทดแทนส่วนที่เสียหายไปได้”
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การระบาดของโควิดรอบใหม่น่าจะคลี่คลายลงใน 2 เดือน จากความตื่นตัวของประชาชนที่ส่วนใหญ่ล็อกดาวน์ตัวเอง ในส่วนของหอการค้าไทยภายใต้การนำของประธานฯหอการค้าไทยและคณะได้เข้าพบพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานคร(7 เม.ย.)โดยสาระสำคัญทางหอการค้าไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางกทม.ในการอำนวยความสะดวกและจัดเตรียมพื้นที่รองรับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมประชากรกรุงเทพฯประมาณ 70% ในปีนี้ (กทม.ได้โควตาวัคซีน 10 ล้านโดส)
ทั้งนี้กลุ่มห้างสรรพสินค้าที่เป็นสมาชิกของหอการค้าไทย อาทิ เดอะมอลล์ เซ็นทรัล แม็คโคร ไอคอนสยาม และบริษัทอื่นๆ พร้อมให้การสนับสนุนพื้นที่และการอำนวยความสะดวกรองรับการฉีดวัคซีน โดยนายสนั่นพร้อมฉีดเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจ
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่าผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจากโควิดระลอกใหม่ ถือเป็นการซํ้าเติมการท่องเที่ยวที่น่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้น กลับทรุดลงไปใหม่ ยังโชคดีที่สงกรานต์นี้แม้นักท่องเที่ยวอาจจะมีการยกเลิกห้องพักบ้าง แต่ก็ยังมีการเดินทางได้อยู่ โดยเฉพาะในภาคใต้ ที่มีการยกเลิกห้องพักน้อยกว่าภาคอื่น ไม่ถึงขั้นชะงักทั้งหมด
อย่างไรก็ตามระยะสั้น 1-2 เดือนนี้การท่องเที่ยวน่าจะมีผลกระทบ โดยเฉพาะการเดินทางเที่ยวในประเทศ แต่จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าหลังสงกรานต์รัฐบาลจะออกมาตรการที่เข้มข้นหรือไม่ เพราะหากมีการล็อกดาวน์หรือสั่งให้หน่วยงานรัฐทำงานที่บ้าน ก็จะกระทบหนักมาก การออก พ.ร.ก.ซอฟต์โลนและพักทรัพย์ พักหนี้ล่าสุดก็คงช่วยผู้ประกอบการได้ส่วนหนึ่ง สำหรับธุรกิจที่พอจะเดินต่อได้ แต่ธุรกิจโรงแรมที่ยังปิดอยู่ ก็คงยังไม่สามารถเปิดได้
ส่วนการเดินทางมาเที่ยวในไทยของนักท่องเที่ยวก็น้อยอยู่แล้ว ความหวังสำหรับผู้ประกอบการคือนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เพราะในหลายประเทศมีการฉีดวัคซีนและเปิดให้คนเดินทางเที่ยวได้แล้ว ถ้าภูเก็ตคนในพื้นที่ฉีดวัคซีนได้70% ตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น
“ปีที่แล้วเรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาช่วงไตรมาสแรก 6.7 ล้านคน ปีนี้เข้ามาเฉลี่ย 5 พันคนต่อเดือน ก็คงต้องรอดูการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่มีการลดวันกักตัวลงแล้ว และภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่จะเกิดขึ้น
แต่จากสถานการณ์ในปีนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้น่าจะตํ่ากว่าปีที่ผ่านมาอยากให้รัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนทั้งประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ เดินต่อไปได้ ซึ่งการที่รัฐให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยจัดหาวัคซีน ก็เป็นแนวทางที่ดี แต่ควรจะมีการควบคุมราคาให้เหมาะสม”
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล, เซ็นทรัลภูเก็ต และเซ็นทรัล วิลเลจ กล่าวว่า การที่รัฐบาลไฟเขียวให้โรงพยาบาลเอกชนฉีดวัคซีนได้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความสามารถและมีกำลังซื้อสูง เป็นการช่วยลดภาระของภาครัฐได้ทางหนึ่ง นอกจากนี้กลุ่มอาชีพ “ด่านหน้า” ที่ดูแลภาคสาธารณสุขควรเร่งให้มีการฉีดวีคซีนให้ครบโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่ต้องกังวล
อย่างไรก็ดีในปี 2563 ซึ่งอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเช่นกัน จะพบว่าเกือบทุกบริษัทในอุตสาหกรรมค้าปลีกมีรายได้รวมลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการเองพยายามปรับตัว โดยเซ็นทรัลพัฒนามีแผนรองรับอย่างดีในการตอบสนองกลุ่มลูกค้าชาวไทย ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการ “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ” ทำให้มีลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการในศูนย์เพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา
“อยากให้รัฐบาลมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและเงินกู้สำหรับ SMEs ต่างๆ อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะโครงการต่างๆช่วยกระตุ้นเม็ดเงินในตลาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นอย่างดี”
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,670 วันที่ 15 - 17 เมษายน พ.ศ. 2564