นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยเห็นด้วยกับ ศบค.ที่ประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้มเฉพาะพื้นที่เสี่ยง 10 จังหวัด (กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ 4 จังหวัดภาคใต้ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา) ซึ่งอาจจะกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนบ้าง แต่เพื่อเป็นการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อที่รุนแรงมากในขณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ทั้งนี้ ภาคเอกชนยินดีปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. และมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ซึ่งส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะมาตรการป้องกันส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างระหว่างกัน รวมทั้งการเวิร์คฟอร์มโฮม
ทั้งนี้ การยกระดับมาตรการควบคุมที่จะเกิดขึ้นในช่วง 14 วันนี้ ประเมินว่าจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 50,000 – 100,000 ล้านบาท (ประมาณ 3-5 พันล้านบาทต่อวัน) ซึ่งรัฐบาลอาจจะต้องใช้เม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการควบคุมการระบาด และมาตรการเยียวยาที่จะต้องออกมาควบคู่กันซึ่งต้องเร่งการใช้เงินกู้ที่เตรียมไว้ 5 แสนล้านบาทออกมาใช้ช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจำกัดการเดินทางหรือการงดกิจกรรมบางอย่างจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้ แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการแพร่เชื้อ เพราะวันนี้ยังไม่สามารถระบุได้ทั้งหมดว่าใครติดเชื้อบ้าง คนจำนวนมากติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ก็เป็นพาหะนำเชื้อไปสู่คนในครอบครัวอยู่ดี ดังนั้น การป้องกันส่วนบุคคลจึงมีความจำเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม
นอกจากนั้น ภาครัฐและเอกชนต้องมาช่วยดูแลให้มีมาตรการควบคุมดูแลให้ทั่วถึงเพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ขึ้นมาอีก พร้อมเสริมการตรวจเชิงรุกโดย Rapid Test ในราคาที่เหมาะสมเพื่อแยกคนติดเชื้อออกมา
“มาตรการของ ศบค.ที่ออกมา จะช่วยบรรเทาการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก้าวกระโดดได้ แต่ที่สำคัญคือ เราเจ็บแล้วต้องจบ สิ่งสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป คือรัฐบาลต้องใช้สรรพกำลังทุกวิถีทาง เพื่อจัดหาและจัดสรรวัคซีนไปสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด” นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย