"เยียวยาล่าสุด" ส.อ.ท. มองเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแนะเร่งฉีดวัคซีน

14 ก.ค. 2564 | 11:45 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ค. 2564 | 22:40 น.

ส.อท. มองมาตรการเยียวยารอบล่าสุดของรัฐบาลเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ชี้ต้องเร่งคัดกรองผู้ป่วยออกจากสมาชิกในบ้าน พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  เปิดเผยว่า มาตรการแจกเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ  โดยปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดในขณะนี้ คือ การแยกผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ออกจากสมาชิกคนในบ้านที่ไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อท่ามกลางมาตรการที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ให้คนอยู่ในบ้าน
“เบื้องต้นรัฐบาลต้องแยกคนป่วยกับคนไม่ป่วยที่อยู่ในบ้านเดียวกันออกจากกันให้ได้ก่อน เพราะขณะนี้เกิดภาวะการแพร่ระบาดระหว่างคนใกล้ชิดในครอบครัว ที่สำคัญต้องทำควบคู่กับการตรวจเชิงรุกด้วยชุดทดสอบหาเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็ว (Rapid Antigen Test) ให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึงโดยด่วน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระบุคลาการทางการแพทย์  และสามารถคัดแยกกลุ่มเสี่ยงออกมาให้รวดเร็ว สกัดการแพร่เชื้อสู่คนอื่นได้ เพราะเวลานี้ทุกคนทั้งติดเชื้อและไม่ติดเชื้อต้องล็อกดาวน์ตัวเองอยู่ในบ้านเดียวกัน”

อย่างไรก็ดี ยังคงยืนยันข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนกระจายการฉีดให้ประชาชนอย่างเพียงพอ และต้องให้ทั่วถึง 70% ของประชากรทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ที่แท้จริงเป็นหัวใจสำคัญ
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อไปอีกว่า การล็อกดาวน์รอบล่าสุดนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มั่นใจว่าหากรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลงไปอยู่ในระดับหลักร้อยรายต่อวัน เศรษฐกิจก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้ โดยที่ประชาชนจะสามารถออกมาใช้ชีวิตตามปกติได้เหมือนการแพร่ระบาดระลอกที่ผ่านมา
“การที่รัฐบาลตัดสินใจใช้มาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบทั้งด้านดีและไม่ดี เช่นเดียวกันถ้ารัฐบาลไม่ทำก็มีผลกระทบเช่นกัน ต้องรอดูต่อไปว่าเมื่อครบ 14 วันจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลงหรือไม่”
ทั้งนี้ การล็อกดาวน์มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นมาตรการหลักสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกที่ 3 ที่มีความรุนแรงมากกว่าระลอกที่ผ่านๆ มา และส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นจำนวนที่มากและเป็นวงกว้าง หากไม่ใช้มาตรการนี้ผลกระทบก็จะต้องทวีความรุนรุนแรงมากขึ้น"

อย่างไรก็ดี มองว่า รัฐบาลควรเร่งการตรวจเชิงรุกและคัดแยกผู้ป่วยออกจากผู้ที่ไม่ติดเชื้อ เพื่อให้รับการรักษาที่ตรง และรวดเร็วมากขึ้น  โดยมองว่าการล็อกดาวน์ครั้งนี้ทำให้ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจหลายแห่งต้องลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน มากขึ้น ซึ่งยอมรับว่ากระทบต่อผู้ใช้แรงงานและลูกจ้างด้วย แต่ก็ต้องทำ เพื่อทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างรวดเร็ว
"เร็วๆ นี้ ส.อ.ท. จะมีการประชุมและหารือกับกลุ่มสมาชิก ถึงมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกที่สามเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป"