นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า ในครึ่งหลังปี 64 บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาเพิ่มตามสัดส่วนการถือหุ้นกว่า 700เมกะวัตต์ (MW)มาจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซฯ CCGT “Temple I” ที่สหรัฐอเมริกา คิดเป็นกำลังผลิตตามที่บ้านปู เพาเวอร์ ถือหุ้น 384 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำให้รับรู้รายได้เข้ามาทันที โครงการโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ประเทศจีน กำลังการผลิต 396เมกะวัตต์ ปัจจุบันผ่านการตรวจรับจากการไฟฟ้าซานซีลู่กวงแล้วรอคำสั่งจ่ายไฟฟ้าจ่ายไฟเชิงพาณิชย์(COD)ไตรมาส3นี้ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจ่ายไฟฟ้าเพิ่มอีก ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่นในโครงการ KESENUMA ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการ SHIRAKAWA ขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2564
นอกจากนี้ ยังรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมที่เวียดนาม ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเอลวินหมุยยิน ขนาดกำลังการผลิต 38 เมกะวัตต์ ที่อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายในการเข้าซื้อกิจการคาดแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2564 จะส่งผลให้รับรู้เป็นรายได้ทันทีเพราะเป็นโครงการที่เดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ แล้ว และโรงไฟฟ้าพลังลมหวินเจา เฟส1 กำลังผลิต 30เมกะวัตต์ คาดCODไตรมาส4ปีนี้
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา เฟส2-3 ขนาดกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ในเวียดนาม ในขณะนี้ได้ดำเนินการศึกษาขั้นต้นแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาเชิงพาณิชย์ และรอความชัดเจนของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า( PDP)ของประเทศเวียดนามก่อนถึงจะตัดสินใจการลงทุนได้
อย่างไรก็ดี บริษัทยังแสวงหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าสะอาดเพิ่มเติมในประเทศที่บ้านปู เพาเวอร์ มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาเข้าร่วมทุนหรือซื้อกิจการ (M&A)อยู่หลายโครงการที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้วและรับรู้เป็นรายได้ทันที เพื่อบรรลุเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น5,300เมกะวัตต์ในปี 2568
"การที่จะบรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 5,300 เมกะวัตต์ ทำให้บริษัทจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีนี้บริษัทได้มีการลงทุนไปแล้วประมาณ 300ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซฯCGGT Temple l และการซื้อกิจการโรงไฟฟ้า Nakoso Integrated Gasification Combined Cycle (IGCC) ณ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 3,330 เมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้เป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ COD ไปแล้ว 3,224 เมกะวัตต์ และเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาราว 4 โครงการกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 106 เมกะวัตต์"
นายกิรณ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 64 คาดว่าจะมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA)ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่มีEBITDA 2,399 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน30% แม้ว่าจะมีการปิดซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าตามแผนหลายโรง และต้นทุนค่าเชื้อเพลิงถ่านหินในโรงไฟฟ้าที่จีนสูงขึ้น แต่บริษัทจะบริหารจัดการเพื่อลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนค่าเชื้อเพลิงลง