จากกระแสข่าวที่ระบุว่าทางกรมปศุสัตว์อาจประกาศชะลอนำเข้า – นำผ่าน “สัตว์หรือซากสัตว์บางประเภท” สกัดโรคระบาดเข้าไทย ในการสกัดการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ในปี 2565 ทั้งหมดหรือเฉพาะ 7 ราย ที่ขอนำเข้าใหม่ โดยมีผู้ประกอบการบางรายที่มีปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ในไทยได้รับประโยชน์ นั้น
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากมาตรการในการชะลอนำเข้าหรือนำผ่านสัตว์และซากสัตว์จากต่างประเทศ จะมีการดำเนินการเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะนำเข้าโรคระบาดมากับสัตว์หรือซากสัตว์ในกรณีที่มีรายงานว่าประเทศต้นทางมีโรคระบาดสัตว์เท่านั้น ซึ่งเป็นการดำเนินการรายประเทศเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
ไม่มีสามารถเลือกปฏิบัติในการระงับหรือชะลอการนำเข้าสัตว์หรือซากสัตว์ของผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งได้ และในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดแผนการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ของปี 2565 ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาสถานการณ์การผลิตและการตลาดโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาคเอกชนและภาครัฐก่อนนำเสนอเข้าสู่เอ้กบอร์ด
สำหรับเรื่องราคาไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร ที่ทางสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ ได้มีการแจ้งราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร ปรับตัวลดลง 20 สตางค์ อยู่ที่ฟองละ 2.80 บาท เทียบกับคาดการณ์ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ปัจจุบันที่ฟองละ 2.75 บาท (คณะอนุกรรมการต้นทุนการผลิตไก่ไข่และไข่ไก่) นั้น
"สาเหตุจากปัจจุบันมีฝนตกหนักติดต่อกัน รวมถึงมีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ประกอบกับแนวโน้มอัตราการบริโภคไข่ไก่จากการกักตุนในครัวเรือนลดลง จากเดิมที่ประชาชนมีการกักตุนไข่ไก่เพราะความกังวลต่อสถานการณ์และส่วนหนึ่งต้องทำงานที่บ้าน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้มีการหารือและวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐ"
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ และผู้ค้าไข่ไก่ ได้วิเคราะห์สถานการณ์ว่า ในเดือนตุลาคมของทุกปีมีฝนตกหนักและเทศกาลกินเจ ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ราคาไข่ไก่ปรับตัวลดลงทุกปี จึงได้มีมาตรการขอความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่ยืนกรงให้ปลดไก่ไข่ที่อายุเหมาะสมกับสถานการณ์ และมีมาตรการขอความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ร่วมกันผลักดันการส่งออกไข่ไก่
หรือปลดแม่ไก่ไข่ยืนกรงชดเชยการส่งออกเพื่อปรับลดกำลังการผลิตไข่ไก่ภายในประเทศตามสถานการณ์ระหว่างเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2564 แล้ว ซึ่งกรมปศุสัตว์จะเร่งดำเนินการขอความร่วมมือและติดตาม ทั้งนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ในการช่วยกันดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว เพื่อพยุงราคาในเดือนตุลาคม 2564 โดยเร็วด้วย
ด้านนายมาโนช ชูทับทิม คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ส่งสารน์ถึง สมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ว่า วันนี้ (28 ก.ย.2564)ราคาประกาศไข่ลง 20 สตางค์ มีพวกเราหลายคนกังวลจะลงอีกและสวนกับราคาต้นทุน ( อาหารสัตว์ ) ที่ไม่มีทีท่าจะลงราคามาอยู่ในจุดที่พอดีพอเหมาะกับข้อเท็จจริงคือ ทั้งช่วงเวลาและกำลังซื้อของกลุ่มปศุสัตว์ที่วันนี้นับว่าน้อยลงอย่างมาก จึงเป็นที่สงสัยของพวกเราเป็นอย่างมากว่าอาจมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนกรมการค้าภายในเชิญประชุมยุทธศาสตร์ต้นทุน ต้องขอขอบคุณที่ยังมีความรู้สึกร่วมกันว่ามันผิดปกติต้องแก้ไข
มีในกลุ่มพวกเราตัดพ้อเรื่องขึ้นราคาไข่ขึ้นได้แต่ไม่ให้ขึ้นแต่อาหารสัตว์ไม่ควบคุมปล่อยให้ขึ้นได้ขึ้นเอา เรื่องนี้ผมว่ากรมฯ ก็คงจนใจเหมือนกันคล้ายแก้ขอไปที จะไปว่าราชการไม่ให้ราคาไข่ไปตามกลไกตลาดก็ไม่ได้เสียทีเดียวเพราะแต่ละช่วงเวลามีพวกเราบางคนไปสัญญากันไว้ว่า ขอแค่นี้ ประกอบกับนโยบายต้องการดูแลผู้บริโภคเลย ผสมโรงกันไปคนที่เสียประโยชน์คือคนเลี้ยง”
ครั้งนี้นับว่าเป็นบทเรียนเอาไว้ นี่ข่าววงใน-วงนอก จะตีราคาไข่ลงมาเพื่อการส่งออกแล้วขอเงินชดเชย ฟังดูแล้วขำๆ ราชการร่วมมือตรงนี้ผมว่ามันง่ายเกินไปเอาสูตรอะไรมาคิดเป็นความคิดใคร พ่อค้าหรือใคร อย่าจับคนเลี้ยงเป็นตัวประกัน อย่างโน้นอย่างนี้ นี่ยังมีนโยบายมาตั้งแต่ให้ชะลอปลดไก่เพื่อให้มีไข่เยอะๆมามีนโยบายให้เร่งปลดยามคับขัน ยังให้ฟาร์ม 200,000 ตัวขึ้น ช่วยทำส่งออก ล้วนแต่เรื่องเดิมๆ ที่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่ที่ผ่านๆมาทำไม่ได้ เพราะสูตรการคิดกับความเป็นจริงมันสวนทางกัน ที่จริงราชการรู้ดีแต่อยากให้ทำก็ทำเพราะการบังคับคนอื่นมันต่างจากบังคับตัวเอง ผมจึงอยากให้ดูผลบ้างว่าในช่วงที่ผ่านมานโยบายกับการทำงานออกมาอย่างไร บางทีคนเขาไม่ขัดใช่ว่าเขาเห็นดีเห็นงามตามไปทั้งหมด อย่าให้ใครมาครอบงำความคิดแล้วชอบหรือไม่ก็ต้องทำ ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องไข่เชื้อไก่เนื้อราคาไข่ที่ลงก่อนกินเจและไก่ไข่เสียหายครั้งนี้เพราะอะไรรู้ๆกันอยู่ พูดไปก็กระเทือนกันเปล่าๆ เอาที่สบายใจ
ผมขอฝากพวกเราและราชการที่เกี่ยวข้องช่วยใส่ใจวงการนี้ให้มากและสร้างความยุติธรรมให้รู้สึกว่าได้หรือเสียมันควรเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริง ส่วนตัวเรื่องการส่งออกไข่ไก่จะขอเงินชดเชยผมว่าอย่าเลย ทุกวันนี้มันจะเป็นกฎตายตัวถ้าส่งออกต้องได้เงินค่าตอบแทนจะเป็นเงื่อนไขให้หาเหตุและมีได้มีเสียกับคนที่เกี่ยวข้อง คิดดูดีๆ วังวนเดิมๆน่าเบื่อหน่าย