บี จิสติกส์ เตรียมคลอดแผนยุทธศาสตร์ปี 65 ปูพรมฐานลูกค้าใหม่

18 ต.ค. 2564 | 12:20 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2564 | 19:24 น.

บี จิสติกส์ เตรียมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ปี 65 เสนอบอร์ด โฟกัสเติบโตยั่งยืน เน้นประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนขนส่ง หวังเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร  ปูพรมขยายฐานลูกค้าใหม่ รุกเพิ่มกลุ่มอีคอมเมิร์ซ ตั้งเป้าล้างขาดทุนสะสม 84 ล้านบาทภายใน 1-2 ปี 

ดร.ปัญญา บุญญาภิวัฒน์  ประธานกรรมการบริหารบริษัท บี จิสติกส์ จำกัด(มหาชน) หรือ B  เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Master Plan) ของปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะเสนอบอร์ดภายในเดือนนี้  แผนหลักของบริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักคือการให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยเป้าหมายสำคัญก็คือการเติบโตที่ยั่งยืน  รวมทั้งบริหารจัดการขนส่งและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ทั้งนี้จะมีการต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและโลจิสติกส์เข้ามาเสริม  เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับบริษัท

บี จิสติกส์ เตรียมคลอดแผนยุทธศาสตร์ปี 65  ปูพรมฐานลูกค้าใหม่

ทั้งนี้ธุรกิจหลักของ B คือการให้บริการขนส่งครบวงจร ก็ยังถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 80 % ของรายได้รวม และที่เหลือจะเป็นรายได้จากการลงทุนอื่น ๆ เพื่อที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เข้ามาเสริม ถือเป็นการกระจายรายได้ให้กับบริษัท และช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ โดยเน้นการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน   สำหรับภาพรวมธุรกิจให้บริการขนส่ง บริษัทมีจำนวนรถหัวลากอยู่ที่ 37 คัน นอกจากนี้จะมีการใช้บริการซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตรของบริษัทอีกประมาณ 100 คัน เพื่อรองรับความต้องการใช้        รถหัวลากได้เพียงพอ ปัจจุบันบริษัทได้มีการขยายฐานลูกค้าไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพราะเป็นกลุ่มลุกค้าที่มีความต้องการใช้บริการขนส่งและโลจิสติกส์เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะขยายเพิ่มกลุ่มลูกค้าอีคอมเมิร์ซ นอกเหนือจากความร่วมมือกับทางลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด ในการให้บริการขนส่งสินค้าในกรุงเทพ-ปริมณฑล เนื่องจากมองว่ากลุ่มอีคอมเมิร์ซเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีความต้องการใช้บริการขนส่งสูง  

 

 

ส่วนภาพรวมการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนในเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 2 โครงการคือ โครงการโซลาร์ฟาร์ม SPP ภายใต้บริษัทย่อยสยาม โซลาร์ ที่อยู่ในชัยภูมิ กำลังการผลิต 27 เมกะวัตต์ โดยได้ COD ไปแล้วตั้งแต่ปี 56 และโครงการโซลาร์ฟาร์ม ในประเทศเวียดนาม ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน กำลังการผลิต 29 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ COD     ไปแล้วเมื่อปี 63 ที่ผ่านมา โดยที่ทั้ง 2 โครงการถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ก็ได้ลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำดิบ โดยเข้าไปถือหุ้น 51% ในบริษัท เทพฤทธา จำกัด 

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลทยอยปลดล็อกดาวน์ รวมทั้งเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย นี้ จะส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์สดใสมากขึ้น รวมทั้งจะมีการรับรู้รายได้ในส่วนของธุรกิจผลิตน้ำดิบเพิ่มขึ้น  จากฤดูฝนในปีนี้ได้เติมน้ำเข้าบ่ออีกเป็นจำนวนมาก ทำให้มีปริมาณน้ำดิบเพื่อส่งจำหน่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้รายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 10-15% 

 “แผนยุทธศาสตร์ปี 65 จะช่วยขับเคลื่อนให้ B มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะปัจจุบันสถานะของบริษัทมีความพร้อมในการขยายธุรกิจเต็มที่ ฐานะการเงินก็มีความแข็งแกร่ง  สัดส่วนหน้าสินต่อทุนเหลือแค่ 0.18 เท่า ตอนนี้บริษัทแทบไม่มีเงินกู้ยืม ภาวะดอกเบี้ยก็น้อย ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิกว่า 98 ล้านบาท เติบโตกว่า 688% ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทและก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 1-2 ปี  บริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่อยู่ราว 84 ล้านบาท ได้ทั้งหมด” ดร. ปัญญากล่าว