เปิดมุมมองรัฐ-บิ๊กธุรกิจ เคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่โลกยุคใหม่

07 พ.ย. 2564 | 08:25 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2564 | 15:49 น.

ภาครัฐ-เอกชน แข่งนำเสนอวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่ความยั่งยืน “สุพัฒนพงษ์” เผยรัฐตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกช่วยดึงลงทุน พลิกโฉมเศรษฐกิจสู่พลังงานสะอาด สภาพัฒน์ชี้โครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษายังเป็นจุดอ่อนประเทศ ขณะบิ๊กเอกชนแนะดันเกษตรสมัยใหม่

 

รายงานข่าวระบุว่า สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้จัดงานสัมมนา Thailand Competitiveness Conference 2021 : Creating Thailand Desirable Future  ในรูปแบบ  Virtual Conference  เพื่อร่วมเสนอแนะแนวทางยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในบริบทสังคม และสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขาจากประเทศไทย และนานาประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ภายใต้หัวข้อ  “Creating Thailand Desirable Future” : ร่วมสรรค์สร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืน  ใน 4 หัวข้อหลักคือ  1. ESG Leadership as competitive advantage , 2. Smart Agriculture 3. The Smart City opportunity for Thailand และ 4. People & Education

 

นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Creating Thailand Desirable Future”  ใจความสำคัญว่า รัฐบาลมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกและลดคาร์บอนให้ได้ผลในปี ค.ศ.2065   เพื่อมุ่งไปสู่การใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยีให้เป็นรากฐานในการปรับประเทศไทยให้มีความทันสมัยมากขึ้น  ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุน  เพิ่มความพร้อมของการศึกษาและงานวิจัยด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า  ส่วนอุตสาหกรรมดั้งเดิมจะยังคงเข้มแข็งมากขึ้นโดยเฉพาะการเกษตร สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 เป็นต้นไปคือ การพลิกโฉมสมรรถนะทางเศรษฐกิจด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าควบคู่กับพลังงานสะอาด  ที่เพิ่มความยืดหยุ่นของสถานีประจุ   โดยสิ่งที่รัฐบาลทำได้คือ  การสร้างโอกาสให้ภาคเอกชนอย่างยั่งยืน

 

 

ด้าน Mr. Vincent Chin , Boston Consulting Group กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ทำให้รัฐบาลทุกประเทศ ต้องทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเยียวยาด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ ประชาชน  และเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจรุนแรงขึ้น ซึ่งประเทศในยุโรปได้ผลักดันการพัฒนาด้านดิจิทัล หรือแนวคิดเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำ (Inclusive Economy) มากขึ้น  เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่สร้างความเท่าเทียมกันให้คนทุกชนชั้นในสังคม   โดยรัฐต้องคำนึงถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง  สุขภาพ  การศึกษา และการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ไปพร้อมกัน   โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)   เพราะนี่คือ  ปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

 

เปิดมุมมองรัฐ-บิ๊กธุรกิจ เคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่โลกยุคใหม่

 

นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)  กล่าวว่า การจัดอันดับความสามารถของประเทศไทยปี 2563 มีอันดับที่ลดลงนั้นมีผลกระทบมาจากโควิด-19  โดยเฉพาะตัวชี้วัดสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ภาคการผลิต  ภาคเกษตรกร  ภาคอุตสาหกรรม  และภาคบริการค่อนข้างต่ำ   โครงสร้างพื้นฐานด้านศึกษายังถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย  สำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ปี 2566-2569)  มีทิศทางการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน เป้าหมายหลักคือ ภาคการเกษตร สถานบริการฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ระบบสาธารณสุข เทคโนโลยี การขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs  การลดก๊าซเรือนกระจก 15%  และยกระดับการแข่งขันอย่างยั่งยืน

 

เปิดมุมมองรัฐ-บิ๊กธุรกิจ เคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่โลกยุคใหม่

 

นายธีระนันท์  ศรีหงส์  ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า  บริษัทสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่นำหลัก ESG (กรอบการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล) มาเป็นแนวทางดำเนินธุรกิจมักจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในมิติต่าง ๆ  จากวิกฤติโควิด - 19  ทำให้ทุกบริษัทเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า  ไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง  องค์กรจำเป็นต้องอยู่ในระบบนิเวศน์ที่ดี  มีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์อยู่ในสภาพที่มั่งคั่งและแข็งแรงเพียงพอ  การที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง  เพราะประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก  

 

ทั้งนี้ไทยยังมีปัญหาทางสิ่งแวดล้อมมากเนื่องจากพึ่งพาธุรกิจการท่องเที่ยว  จึงมีความจำเป็นต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมชีวภาพเพื่อตอบสนองเศรษฐกิจหมุนเวียน   ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อการลดปัญหามลภาวะ  ส่วนความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษานั้น  อาจจะใช้เทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาได้  แต่ล้วนต้องได้รับการผลักดันด้วยงบประมาณ  และการตัดสินใจที่ชัดเจนของภาครัฐ  จะช่วยส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนเข้ามาให้ความร่วมมือ  ซึ่ง Digital Transformation จะทำให้การดำเนินการต่าง ๆ มีความโปร่งใสมากขึ้น

 

Professor Arturo Bris , IMD World Competitiveness Center ชี้ว่า ประเทศที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลของโลก เช่น เดนมาร์ค ได้ผลักดัน Digital Transformation ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน  และองค์กรทางธุรกิจจำนวนมากสามารถเข้าถึงระบบดิจิทัลได้อย่างแท้จริง ล้วนเกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน

 

ในหัวข้อ “ESG Leadership as competitive advantage” Dr.Hogel Ruble , Boston Consulting Group กล่าวว่า Sustainability หรือความยั่งยืนได้กลายเป็นแนวคิดของทุกภาคส่วนในการทำธุรกิจที่กลายเป็นกระแสสำคัญระดับโลก ซึ่งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และทำให้เกิดโมเดลทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายและดึงดูดความน่าสนใจให้บริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคยินดีจ่ายในราคาสูงให้กับสินค้าที่ก่อมลพิษน้อยลง  ผลิตจากวัสดุรักษ์โลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และแม้แต่การว่าจ้างก็ยังอ้างอิงความยั่งยืน

 

 

ขณะที่นายธีรพงศ์  จันศิริ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ TU กล่าวว่าแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นที่มาของการสร้างมูลค่าธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมานั้น เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารทะเลที่น่าเชื่อถือที่สุดของโลกตลอดจนใส่ใจดูแลและรักษาทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อรักษาให้คงไว้แก่คนรุ่นหลัง ในปี ค.ศ. 2014  ประเทศไทยได้ถูกโจมตีเรื่องความยั่งยืนของอาหารทะเล  และปีต่อมารายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาได้ลดสถานะประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งรัฐบาลไทยได้มีมาตรการดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย และปฏิรูปเพื่อแก้ไขต้นตอของปัญหาจากการถูกปรับลดอันดับจากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่ดีขึ้น 

 

ดังนั้น บริษัทจึงจัดทำกลยุทธ์และสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน เพื่อดึงความมั่นใจของตลาดกลับคืนมา  จนทำให้ได้รับการยอมรับว่า  เป็นบริษัทชั้นนำในแง่ของความยั่งยืนของอาหารทะเล   และได้รับการจัดอันดับที่ดีติดต่อกันหลายปีจากองค์กรระดับโลกด้านความยั่งยืน  นอกจากนั้นการที่องค์กรขนาดใหญ่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์ ให้องค์กรขนาดเล็กกว่า  คือ  การร่วมกันสร้าง Capacity  ให้แก่บริษัทอื่นในห่วงโซ่คุณค่า  และ  SMEs  สามารถนำแนวทางของความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างแน่นอน  

 

เปิดมุมมองรัฐ-บิ๊กธุรกิจ เคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่โลกยุคใหม่

 

Ms.Sushma Vasudevan , Boston Consulting Group เผยว่า “ภาคการเกษตรสามารถนำดิจิทัลและเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการเชิงระบบนิเวศ โดยภาครัฐต้องมีบทบาทหลัก เช่น กระทรวงเกษตรประเทศอินเดีย  ได้จัดทำแอพลิเคชั่นและสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์  ร่วมกับภาคเอกชนที่ช่วยจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่  ทำให้เกษตรกรได้ร่วมกันแชร์ข้อมูล และวิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ  หากประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศของภาคเกษตรกรรม จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของเกษตรสมัยใหม่ได้”

 

นายวสิษฐ  แต้ไพสิฐพงษ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร  กล่าวว่า ในฐานะบริษัททางการเกษตร  การทำ  Digital Transformation  คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0  สำหรับเบทาโกร แบ่งออกเป็น 3 ระยะ  คือ ระยะที่ 1 การก้าวออกจากวิถีเดิมที่ปฏิบัติมาเป็นเวลา 40 ปีที่ต้องตัดสินใจไปสู่ระบบใหม่และบนฐานข้อมูลใหม่  ระยะที่ 2  Digital Transformation ซึ่งระบุหมวดหมู่และจัดลำดับความสำคัญที่เกี่ยวข้อง   และระยะที่ 3 Smart  Transformation  ที่เริ่มคำนึงถึงการใช้งานปัญญาประดิษฐ์   เทคโนโลยีการคาดการณ์ต่าง ๆ  รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรเพื่อให้ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้

 

 ปัจจุบันผู้บริโภคมีอิทธิพลมาก ลูกค้าเปลี่ยนจากรุ่นเก่ามาสู่รุ่นใหม่  การเป็นผู้นำอุตสาหกรรม  ควรเรียนรู้เส้นทางลูกค้าใหม่  และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของลูกค้า   ดังนั้น Digital Transformation จึงไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงการทำงาน  แต่ต้องทำให้องค์กรสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมบนความเข้าใจในเส้นทางของลูกค้าด้วย

 

คุณณัฏฐ์ ถุงทรัพย์ , บริษัท Artificial Anything  กล่าวว่า   เกษตรกรขนาดเล็กแบบเดิมมีข้อจำกัดมากคือแรงงานคนและเครื่องจักร  การสร้างชุมชนชาวนาด้วย  Digital transformation จึงสร้างโอกาสการกระจายอำนาจและบูรณาการด้านการตลาดเข้ากับกระบวนการผลิต  ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง  ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดตรงนี้ไปได้  เพราะสายการผลิตที่ไม่สามารถปรับได้ทัน  ความท้าทายคือ การนำแนวคิดไปใช้ในทางปฏิบัติ  ซึ่งผู้นำองค์กรมีส่วนอย่างมาก  หากนโยบายภาครัฐมองเกษตรกรในฐานะที่เท่าเทียม  ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  เป็นผู้จัดหาเทคโนโลยี   จัดเก็บข้อมูลองค์ความรู้  และฐานข้อมูลทางการเกษตรเพื่อเปิดให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้คือ  ปัจจัยความสำเร็จของการเดินทางร่วมกันไปสู่ดิจิทัลของประเทศไทย

 

ส่วนการบรรยายเรื่อง “การขับคลื่อนประเทศไทยให้เป็นเมืองอัจฉริยะเต็มรูปแบบ” โดย นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ให้ความเห็นร่วมกันว่า เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ต้องตอบโจทย์ของเมือง  ซึ่งกรุงเทพฯ ยังมีปัญหาหลายอย่าง เช่น Health & Hygiene และ Comfort & Convenience โดยเมืองท่องเที่ยวที่ดีต้องตอบโจทย์ของนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และผู้อยู่อาศัยในชุมชนได้พร้อมกัน เพราะการย้ายเมืองเป็นเรื่องใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก เราจะควรพัฒนาเมืองให้มีจุดแข็งมากขึ้นเช่น การเก็บขยะ สำหรับเมืองเล็กต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะคุ้มค่ากว่า โดยเริ่มต้นจากหมู่บ้าน เทศบาล ตำบล จนถึงระดับจังหวัด

 

เปิดมุมมองรัฐ-บิ๊กธุรกิจ เคลื่อนอนาคตประเทศไทยสู่โลกยุคใหม่

 

ในหัวข้อ “People and Education” นายยูริ ยาร์วียาโฮ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์คือ การให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือ และให้อิสระการทำงานกับคุณครูในโรงเรียน ซึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างดี มีคุณภาพและการศึกษาสูง  โดยทุกชุมชน  ครูคือบุคลากรที่ได้รับความเชื่อถือ ให้ความเคารพ มีเครือข่ายช่วยเหลือกันระหว่างโรงเรียน  และสามารถสร้างสรรค์หลักสูตรที่เหมาะสมกับคนในท้องถิ่นได้

 

นายเทวินทร์ วงศ์วาณิช กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  กล่าว ไทยต้องมุ่งเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้มากขึ้น เช่น การกระจายงบประมาณไปยังโรงเรียนท้องถิ่น เพิ่มอำนาจครูในระบบในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน  โดยคัดเลือกครูให้มีคุณภาพมากขึ้น การเพิ่มเงินเดือนค่าตอบแทน การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับในระบบ  เพราะการศึกษาคือรากฐานสำคัญของการสร้างโอกาส และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ